เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของ น.ส.ตะวัน และ นางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พร้อมด้วย น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม ทะลุวัง นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ เดินทางมาที่ศาลอาญา เพื่อแถลงการณ์คัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง กระทั่งล่าสุดอาการเจ็บป่วยของตะวัน และแฟรงค์ ซึ่งเกิดจากการอดอาหาร และน้ำ ประท้วงกระบวนการยุติธรรม มีภาวะน่าเป็นห่วง
ภายหลังจากที่ นางทิชา และบิดาของตะวัน ได้ไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขัง และขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา จากนั้น รปภ. ได้ขอความร่วมมือให้ทั้งหมดไปจุดเทียนที่ด้านนอกบริเวณศาล ต่อมาได้เคลื่อนไปยังพื้นที่อนุญาต และจุดเทียนพร้อมร้องเพลงเพื่อมวลชน
นางทิชา กล่าวว่า ตนเองอยากเรียนข้อมูลให้สาธารณะได้รับทราบว่า ในปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศ มีการคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย โดย 80% เป็นนักโทษเด็ดขาด ส่วนอีก 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่า การคุมขัง 20% ดังกล่าวเป็นการคุมขังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเราต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือ ความสูญเสียมหาศาล นอกจากนี้ ตนยังอยากย้ำว่า สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คนจำนวน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ของ น.ส.ตะวัน น.ส.แบม น.ส.บุ้ง นายแฟรงค์และนักกิจกรรมทางการเมืองคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา และเขาก็สงสัยในระบบเหล่านี้ มันเป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนที่เกิดก่อนด้วยซ้ำ
นางทิชา กล่าวอีกว่า มั่นใจว่า ทุกคนรู้สึกว่า ระบบยุติธรรมของไทยตอนนี้กำลังเดินทางเข้าสู่วิกฤตศรัทธา ดังนั้น การต่อสู้ของเด็กๆ ทั้งหมด เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกอย่างเราต้องไม่อยู่เฉย และถ้าทุกคนรู้สึกว่าการอดอาหารประท้วงของพวกเขาเป็นการตัดสินใจกันเอง และถ้าอยากสาปแช่งให้เด็กเหล่านี้ติดคุกและเสียชีวิต เเละถ้าพวกคุณรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการท้าท้ายอำนาจรัฐของเด็ก เราก็อยากบอกว่าพวกคุณกำลังลดทอนคุณค่าของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าในอนาคตกฎหมายยังไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดี วันนั้นอาจเป็นชะตากรรมของลูกหลานของพวกคุณก็ได้ที่เจอกฎหมายไม่เป็นธรรม สรุปแล้วการประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของตะวัน แฟรงค์ และ บุ้ง โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ต้องการระบบที่มันยุติธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของเด็กๆ ในนาทีนี้มันเข้าสู่สัญญาณอันตราย ตนและคนข้างนอกไม่อาจอยู่เฉยได้แม้ผลจะเป็นอย่างไร
“การที่เรามาที่ศาล เพราะยังเหลือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จึงหวังว่า จะยังคงมีผู้พิพากษาที่มีความเป็นมนุษย์ในสถาบันแห่งนี้จะกล้าหาญพอที่จะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้”
นางทิชา กล่าวต่อว่า แม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ไม่น่ารัก แต่คำถามคือมันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะใช้กฎหมายตั้งข้อหาอย่างรุนแรงขนาดนี้ ตนขอถามว่า พวกคุณตอนเด็กน่ารักทุกวันหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ลูกหลานในบ้านคุณน่ารักทุกวันนี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากในสถาบันนี้ จะมีความกล้าหาญที่จะช่วยชักฟืนออกจากกองไฟก่อนที่เราจะสูญเสียมากไปกว่านี้
1) ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชมการทำหน้าที่ “เยียวยา-กล่อมเกลาเด็ก” ของป้ามล-ทิชา ณ นคร มาโดยตลอด แต่ในกรณีนี้ “มีคำถาม” กับป้ามลมากมาย
2) ป้ามลพยายาม “เล่นกับตัวเลข” กับ “สถิติ” เพื่อ “ทำลายความชอบธรรมของกระบวนการ” ทำให้กระบวนการควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีเป็น “ผู้ร้าย” โดยไม่ลงในรายละเอียดว่า หลักเกณฑ์และหลักการของการควบคุมตัวระหว่างถูกดำเนินคดีหรือพิจารณาคดีนั้น มีอะไรบ้าง อะไรคือเหตุของการไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ตามกฎหมาย แล้วใช้หลักนั้น “ลงลึก”ไปในสถิติที่ป้านำมาแสดง
3) ครั้งนี้ป้าได้ลดระดับตัวเองจาก “นักตรวจสอบมีคุณภาพ” เป็นแค่ “นักเคลื่อนไร้คุณภาพ” คือ ป้าจะมักง่าย ไร้เดียงสา ไม่ใช้การศึกษา หรือมีเล่ห์กล ก็ไม่อาจทราบได้ ป้าจึงเล่นกับ “จำนวน” อย่างหยาบๆ ง่ายๆ โง่ๆ โดยไม่ลงลึกใน “เนื้อหา” เลย ว่า 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว นั้น มีพฤติกรรมหรือองค์ประกอบใดที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายที่เขียนไว้แล้ว ที่นำไปสู่การต้องถูกควบคุมตัว เป็นการทำงานที่ไม่ใช่เชิง “คุณภาพ” ไม่แยกแยะ แต่เสมือนเล่น “มายากล” พรางตาคนเสียอย่างนั้น
3) การไม่ให้ประกันตัว ทั้งในชั้นเจ้าพนักงานและในชั้นศาลนั้น มี “เหตุ” ที่ระบุเป็น “เงื่อนไข” ชัดเจน ว่าต้องเข้าองค์ประกอบใด จึงจะได้รับการปล่อยตัว องค์ประกอบใดจะต้องถูกควบคุมตัว นี่คือสิ่งที่ป้าไม่พูด ไม่ให้ความรู้ หรือ “ไม่หาความรู้-ไม่ยึดถือเป็นหลักเกณฑ์หลักการ”ก็ไม่ทราบได้ ป้าควรเป็นตัวอย่างของการสอนคนให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเคารพกฎเกณฑ์ สิ่งที่ต้องยึดเป็น“เครื่องมือตรวจสอบเชิงคุณภาพ” คือ หลักเกณฑ์และข้อเท็จจริงว่า ทำไม ผู้ที่ต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” จึงต้องถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี
4) มาตรา 108/1 ป.วิ.อ. ระบุเหตุแห่งการไม่ให้ประกันตัวไว้หลายกรณี อาทิ ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี, ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น,ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกัน ไม่น่าเชื่อถือ, การอนุญาตให้ประกันตัวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล หรือพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว คือ มีการระบุในคำร้องขอฝากขังว่าขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา
5) ในกรณีนี้ เจ้าพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว โดยอ้างต่อศาลว่า ยังสอบปากคำพยานไม่ครบ จนร้องขอฝากขังเป็นผัดที่ 4 ศาลจึงมีคำสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จในการฝากขังครั้งนี้ ส่วนที่บิดาของผู้ต้องหา อ้างเหตุแห่งความเจ็บป่วย (เพราะอดอาหารเอง เป็นการสร้างเงื่อนไขขึ้นเอง) ศาลท่านก็ชี้ซ้ำว่า แม้ผู้ต้องหาทั้งสองมีอาการวิกฤตตามที่ผู้ร้องอ้าง แต่เมื่อผู้ร้องทั้งสองอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่า ผู้ต้องหาจะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้อง และผู้ต้องหาทราบ ซึ่ง “เรื่องแค่นี้” ไม่น่าจะเป็น “ภาระทางปัญญา” หรือ “เกินปัญญา” ของคนระดับ “ทิชา ณ นคร” ได้ หากป้ามล-ทิชา จะเล่นประเด็นอะไรให้เห็น “ความแหลมคมทางสติปัญญา” ต้องเล่นว่า พนักงานสอบสวนเตะถ่วง เป็นพฤติกรรมที่ไม่นำไปสู่ความยุติธรรม ไม่ใช่ไปอ้างสถิติคนที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี ว่าภายหลังศาลตัดสินว่าบริสุทธิ์ หรือยกฟ้อง (ซึ่งก็เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น พยานหลักฐานไม่เพียงพอ เป็นต้น) การคุมขังระหว่างพิจารณาคดี หรือระหว่างการสอบสวน จึงไม่ใช่เหตุว่า คนคนนั้น “เป็นผู้บริสุทธิ์” หรือไม่เป็น แต่มีพฤติกรรม “เข้าองค์ประกอบ” ที่เป็นเหตุให้ต้องควบคุมตัวไว้ก่อน เท่านี้เองครับป้า ป้าต้อง “ไม่เลอะเลือน” ในนิยามของคำว่า “ผู้บริสุทธิ์” ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการที่ดำเนินสืบเนื่องกันไป
6) ทนายบอน-นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ให้ความรู้ว่า การปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) เป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันศาลก็มีหน้าที่ต้องดูแลปกป้องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย
ในกรณีเช่นนี้ บางกรณี ศาลก็ได้เคยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลแล้ว ด้วยการให้ประกันตัวในการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อให้ออกมาใช้ชีวิตและต่อสู้คดีได้เต็มที่ แต่เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลย กลับกระทำความผิดซ้ำ ผิดเงื่อนไขการประกันตัวของศาล สร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นในสังคม ศาลก็มีอีกหน้าที่หนึ่ง คือ ต้องดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเช่นกัน และเมื่อถึงเวลานั้นการประท้วงด้วยการอดอาหารก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะไม่เช่นนั้น นักโทษคงอดอาหารแล้วได้ออกมาจากเรือนจำกันทุกคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย
จึงขอฝากไปถึงผู้ใหญ่ที่ให้ท้ายคนรุ่นใหม่ทำผิดกฎหมาย ช่วยแนะนำให้เคารพกฎหมายบ้านเมืองจะดีกว่า และในกรณีที่ได้รับการประกันตัว ได้รับโอกาสออกมาต่อสู้คดีแล้ว ก็ควรแนะนำให้ประพฤติตนตามคำสั่งของศาลโดยเคร่งครัด จะเกิดประโยชน์กับคนรุ่นใหม่และเกิดประโยชน์กับสังคมมากกว่า
7) สิ่งที่ป้ามล “เลยเถิด” ไปอีก คือ “...ต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือ ความสูญเสียมหาศาล...” นี่ป้าก็พูดโดย “ไม่หาความรู้” (uneducated)อีก
8) เรื่องนี้แบ่งได้เป็นสองกรณีครับป้า 1.ถ้าศาลยกฟ้องโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย(ไม่ได้พิพากษาว่าไม่ผิด) จะไม่ได้รับการเยียวยา 2. กรณีศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด จะเข้าหลักเกณฑ์ในการยื่นขอรับเงิน
9) ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จำเลยมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากทางการหลายรายการ ได้แก่ (1) ค่าทดแทนการถูกคุมขังวันละ 500 บาท (2) ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 40,000 บาท (3) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและจิตใจ 50,000 บาท (4) ค่าขาดประโยชน์การทำมาหาได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดที่จำเลยทำงาน ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เช่น ค่าทนาย ส่วนกรณีที่จำเลยเสียชีวิต ยังมีสิทธิได้รับค่าทดแทน 100,000 บาท ค่าทำศพ 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท และค่าเสียหายอื่นอีกไม่เกิน 40,000 บาท เป็นต้น
การพูดเรื่อยเจื้อยเลอะเทอะ ไร้การศึกษา นับเป็นการ “กัดกร่อนบ่อนเซาะ” กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” ทั้งๆ ที่เกิดจาก “วิกฤตปัญญา” ของตนแท้ๆ กระบวนการยุติธรรมต้องมาถูกข่มขืนล่วงเกินด้วยคำพูดไร้ปัญญา ไม่ศึกษาให้พอก่อนพูด ประดิดประดอยถ้อยคำเก๋ๆ ชิงพื้นที่ข่าว หาประโยคพาดหัวหรือทำอินโฟกราฟิก โชว์ตัว โชว์หน้า โชว์ปัญญาไป
ป้าเรียกร้องให้ชักฟืนออกจากไฟ ในขณะที่ป้ากำลังถูกใช้เป็น “ฟืน” ที่ก่อกองเพลิงอับปัญญาให้ลุกโชนขึ้นแผดเผาบ้านเมือง ให้การเรียนรู้ที่ผิดแก่เด็กและเยาวชนที่ศรัทธาป้า ทั้งหมดที่เขียนมา จึงหวังว่า“ป้าจะศึกษา” และทบทวนตัวเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี