คำพูดที่ว่าโรคเสพติดอำนาจไม่สามารถรักษาหายได้และสำนวนที่ว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้ไม่มีศัตรูถาวรกำลังเกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อพันธมิตร เคยกอดคอร่วมมือเกื้อกูลกันจนชนะเลือกตั้งถล่มทลายบองบองหรือมาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายอดีตจอมเผด็จการ เฟอร์ดินัน มาร์กอส กับ ซาร่า ดูเตอร์เตลูกสาวอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต นักเลงโบราณเผด็จการบ้านใหญ่ได้เข้ามานั่งในทำเนียบมาลากันยัง ในฐานะประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ตระกูลมาร์กอสซึ่งมีฐานเสียงหนาแน่นทางเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดอิโลกอส นอร์เตที่ บองบองเคยเป็นผู้ว่าราชการและได้รับเลือกเป็นวุฒิสภาสองสมัยเมื่อมาร์กอส จับมือกับดูเตอร์เต ซึ่งมีฐานเสียงหนาแน่นทางใต้โดยเฉพาะในมินดาเนา บองบอง จึงชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายได้รับการเลือกตั้ง 30.5 ล้านเสียง หรือ 58.8% ส่วนรองประธานาธิบดีซาร่าดูเตอร์เต ซึ่งมีคะแนนนิยมมากกว่า ชนะเลือกตั้ง 32.2 ล้านเสียงหรือ 61.2%
หลังจากประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งเป็นทางการไม่นาน ศาสตราจารย์ Jean Frango แห่งมหาวิทยาลัยมะนิลา ทำนายว่า“ทีมเอกภาพ (ตอนหาเสียงบองบองกับซาร่าเรียกว่า “ทีมเอกภาพ”) จะแตกแยกในไม่ช้าไม่นาน”และคำทำนายของเขาเริ่มส่อเค้าเป็นจริงขึ้นมาเมื่อซาร่าได้รับการมอบหมายให้กำกับดูกระทรวงศึกษา ที่มีปัญหารอบด้าน แทนการกำกับดูแลกระทรวงกลาโหม ที่เธอหมายมั่นปั้นมือไว้และได้ตกลงกับ บองบอง ก่อนเลือกตั้ง
ความไม่พอใจของฝ่ายดูเตอร์เต มีมากขึ้นเมื่อพบว่ามาร์กอส เปลี่ยนท่าทีจากที่เคยเป็นญาติดีกับจีนหันไปซบวอชิงตัน ตามรอยบิดา และเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งสวนทางกับที่อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เต ปฏิบัติต่อจีนและสหรัฐ เมื่อหกปีก่อนหน้าดูเตอร์เตแข็งกร้าวต่อสหรัฐถึงกับจำกัดการใช้ฐานทัพในฟิลิปปินส์ ในบางกรณีดูเตอร์เตขับไล่ให้ทหารอเมริกันถอนทัพกลับบ้าน ความไม่พอของฝ่ายดูเตอร์เตกลายเป็นความขัดแย้งเมื่อ ปธน.มาร์กอส ทำข้อตกลงร่วมมือใหม่กับสหรัฐโดยอนุมัติให้สหรัฐสร้างฐานทัพในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มจาก 5 เป็น 9 ฐานทัพ และอนุญาตให้ทหารอเมริกันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ในเวลาเดียวกันกองทัพเรือฟิลิปปินส์ก็เผชิญหน้าและปะทะกับยามชายฝั่งจีนหลายครั้งสร้างความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งสมัยนายดูเตอร์เต จีนกับฟิลิปปินส์ประสานงานร่วมมือกันอย่างดีบนพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ในปี 2562 อนุญาโตตุลาการตัดสินให้พื้นที่ขัดแย้งในทะเลจีนใต้เป็นสิทธิ์โดยชอบของฟิลิปปินส์ประธานาธิบดีดูเตอร์เตก็ไม่ได้จัดการใดๆ โดยกล่าวว่าร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่มีประโยชน์ร่วมกันดีกว่า
นอกจากไม่เห็นฟ้องต้องกันในความสัมพันธ์กับสองมหาอำนาจจีน-สหรัฐ ยังมีความอึมครึมภายในเมื่อมีรายงานว่า มาร์กอส กำลังปั่นญาติสนิทและวุฒิสมาชิกที่ใกล้ชิดให้เป็นทายาทการเมืองในกรณีที่เขาแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้สมัครประธานาธิบดีสมัยที่สองไม่สำเร็จ *รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์กำหนดให้เป็นประธานาธิบดีหกปีได้สมัยเดียว*ซึ่งดูเตอร์เตกล่าวหาว่ามาร์กอส กำลังรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญเพื่ออยู่ในอำนาจต่อสมัยที่สอง
ความขัดแย้งความไม่พอใจที่เหมือนไฟสุมขอนได้กระพือขึ้นเป็นไฟกองใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อมาร์กอส กล่าวว่า “ผมกำลังพิจารณากลับเข้าเป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court=ICC) ฟิลิปปินส์ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกICCในปี 2560 ขณะที่ ICCเริ่มสอบสวนคดี ปธน.ดูเตอร์เต ทำสงครามยาเสพติดเป็นเหตุให้คนตายหลายพันคน มาร์กอสเคยประกาศตอนรณรงค์หาเสียงว่า “ผมไม่ให้ราคา ICC และคนของ ICC เข้าฟิลิปปินส์ได้ในฐานะนักท่องเที่ยวเท่านั้นไม่สามารถสอบสวนใครได้”
ไม่กี่วันหลังจาก ปธน.มาร์กอส กล่าวว่า จะพิจารณากลับเข้าเป็นสมาชิก ICC การโจมตีใส่ร้ายกันในที่สาธารณะ ก็มีมากขึ้นตามลำดับ และแล้วการประกาศสงครามน้ำลายอย่างเปิดเผยก็มีขึ้นในวันที่28 มกราคม เมื่อทั้งสองฝ่ายจัดการชุมนุมใหญ่ในกรุงมะนิลาและเมืองดาเวา (Davao) ในวันเดียวกันผู้สนับสนุน มาร์กอสจัดชุมนุมรณรงค์โครงการ “Bagong Pilipinas” หรือ “ฟิลิปปินส์ใหม่” ในกรุงมะนิลาที่ตำรวจรายงานว่ามีประชาชน 400,000 คน ร่วมฟังคำปราศรัยและผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและข้าราชการ
ในเวทีปราศรัยประธานาธิบดีมาร์กอสไม่ได้กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญ เขากล่าวเน้นว่าแผนการฟิลิปปินส์ใหม่ รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีรายได้สูงขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ แต่ฝูงชนที่ฟังคำปราศรัยตะโกนขึ้นเป็นระยะๆ ว่า “เป็นประธานาธิบดีสองสมัยก็ได้หากทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี”
ส่วนผู้สนับสนุนดูเตอร์เตจัดการชุมนุม “ต่อต้านการปรองดองกับคอมมิวนิสต์” ในเมืองดาเวา ที่ เซบาสเตียนดูเตอร์เต ลูกชายอดีต ปธน.ดูเตอร์เตเป็นนายกเทศมนตรี ตำรวจรายงานว่ามีผู้ชุมนุมฟังคำปราศรัยกว่า40,000 คน ในเวทีปราศรัย เซบาสเตียน โจมตีมาร์กอสอย่างเผ็ดร้อนตอนหนึ่งตะเบ็งเสียงว่า “เป็นประธานาธิบดีที่ไม่กระตือรือร้นแก้ความเดือดร้อนของประชาชนลาออกเสียวันนี้ดีไหม..” เซบาสเตียนไม่เห็นด้วยที่ มาร์กอส ตัดสินใจรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพกับพวกกบฏคอมมิวนิสต์ และถามผู้นำฟิลิปปินส์บนเวทีว่า “ไม่รู้เลยหรือว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในจุดซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของพวกกบฏ ต้องได้รับความทุกข์ทรมานขนาดไหน คุณมันขี้เกียจ แถมยังไม่เห็นอกเห็นใจประชาชน พวกเราถึงไม่พอใจ”
ตั้งแต่เปิด สงครามน้ำลาย อย่างเปิดเผยวันที่ 28 ม.ค. ดูเตอร์เตกับมาร์กอสและผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายสาดโคลนใส่กันตลอดเวลา ในบางกรณีกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าอีกฝ่ายพัวพันยาเสพติด และความขัดแย้งแตกแยกบานปลายถึงขั้นขู่ใช้กำลังปราบปรามกัน เมื่ออดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เตให้สัมภาษณ์สื่อในเครือข่ายว่าเขาไม่เห็นด้วยกับ “โครงการฟิลิปปินส์ใหม่” ซึ่งมีวาระซ่อนเร้นเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ“และหากรัฐบาลเดินหน้าเจรจาสันติภาพกับขบถคอมมิวนิสต์ ผมอาจแยกบินดาเนาเป็นอิสระจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์” คำขู่ของดูเตอร์เต ทำเอารัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ควันออกหูคำรามว่า จะใช้กำลังปราบปรามขั้นเด็ดขาด“รัฐบาลไม่รีรอที่ต้องใช้กำลังปราบปรามใครก็ตามที่แบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์..”
ศาสตราจารย์ Jean Frango กล่าวว่าความขัดแย้งรุนแรงของอดีตพันธมิตรถึงจุดที่กลับหลังไม่ได้ ความขัดแย้งต้องยืดเยื้อต่อไป ทั้งฝ่ายมาร์กอสและดูเตอร์เต จำเป็นต้องแสดงพลังเพื่อรักษาฐานเสียงไว้จนถึงวันเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งอาจสร้างความสั่นสะเทือนให้รัฐบาลมาร์กอส “หากดูเตอร์เตชนะเลือกตั้งกลางเทอม ซาร่า ดูเตอร์เต ก็เพิ่มความมั่นใจในการลงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2028” ศาสตราจารย์ Jean Frango กล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่าความขัดแย้งของตระกูลการเมืองเผด็จการบ้านใหญ่ในฟิลิปปินส์มีส่วนคล้ายกับความขัดแย้งของนักการเมืองบ้านใหญ่เผด็จการพลเรือนในประเทศไทย ที่ความขัดแย้งเกิดจากการชิงแย่งอำนาจที่นำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลจากการทุจริตคอร์รัปชั่นและโครงการประชานิยมต้มตุ๋นประชาชน
มาร์กอส จูเนียร์ เป็นลูกชายจอมเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้ปกครองฟิลิปปินส์ด้วยอำนาจเผด็จกว่ายี่สิบปี 2508 ถึง 2529 ปีที่
ประชาชนนับล้านคนเดินขบวนขับไล่ในรูปปฏิวัติประชาชน มาร์กอสหอบครอบครัวหนีไปอเมริกาและเสียชีวิตในฮาวาย เมื่อปี 2532 ต่อมา รัฐบาลฟิลิปปินส์สอบสวน พบว่ามาร์กอสทุจริตคอร์รัปชั่น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบครัวมาร์กอส ปฏิเสธข้อกล่าวหาและบองบอง ไม่เอ่ยถึงประเด็นบิดาคอร์รัปชั่น
และ 36 ปีหลังจากปฏิวัติประชาชนครอบครัวมาร์กอสยังคงมีอิทธิพลเป็นที่นิยมในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งส่งผลให้ มาร์กอส จูเนียร์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ประธานาธิบดี คนที่ 17 ของฟิลิปปินส์ ที่กำลังขัดแย้งแตกแยกกับดูเตอร์เตครอบครัวการเมืองอำนาจนิยมเผด็จการบ้านใหญ่ที่ทำให้คนตายหลายพันคนจากสงครามยาเสพติด
ความขัดแย้งทางการเมืองในฟิลิปปินส์จึงคล้ายกับประเทศไทยที่หัวหน้าครอบครัวเป็นนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์กังฉินโกงกินปล้นชาติโดยอำนาจเผด็จการสภาผสมกับใช้นโยบายประชานิยมต้มตุ๋นและซื้อความนิยมประชาชนด้วยเงินที่โกงมา เมื่อถูกดำเนินคดีก็หนีไปลี้ภัยในต่างประเทศจนกระทั่งมั่นใจว่าทายาทอสูรได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ก็กลับมา และสร้างความขัดแย้งแตกแยกครั้งใหม่ในสังคมไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี