ตอนอยู่โรงพยาบาล แถลงอาการราวกับป่วยใกล้ตาย ห่างจากโรงพยาบาลตำรวจไม่ได้เลยสักคืบสักศอก พอได้พักโทษ รับแขกที่บ้านจันทร์ส่องหล้า นั่งคุยได้คราวละ 2 ชั่วโมง ยิ่งกิจกรรม “ปิ๊กบ้าน เจียงใหม่” ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร มีตารางกิจกรรมแน่นทั้งวันแบบ “เช้ายันค่ำ”
1) ที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เชิงดอยสุเทพ ตำบลสุเทพอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดในคดีทุจริตที่อยู่ระหว่างการพักโทษ พร้อมนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สามีนางเยาวภา พร้อมลูกทุกคนของนายทักษิณ เดินทางด้วยรถตู้เข้าสักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสเดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิดเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี
โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อม นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำหัวหน้าส่วนราชการรอให้การต้อนรับ แถมมีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย
2) “ทักษิณ” คือ “นักโทษ” คนหนึ่งนะครับ ทำไมต้องมีข้าราชการตำรวจ ปลัดกระทรวง นายก อบจ. ผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการไปต้อนรับด้วยล่ะครับ? ด้วยระเบียบหรือวินัยข้าราชการ หรือจริยธรรมข้าราชการ ทำได้ไหม?
ใช่เพียงเท่านั้น หลังสักการะครูบาศรีวิชัยเสร็จ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมคณะ ยังนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแผนงานโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณน้ำตกห้วยแก้วและลานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ด้วย ถามว่านำเสนอเรื่องนี้กับนักโทษเพื่อ?
3) จากนั้นนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณพร้อมคณะได้เดินทางต่อขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารเพื่อนมัสการ เจ้าอาวาส วัดพระธาตุดอยสุเทพ และ
สักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพ เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งนายทักษิณ ได้ถวายผ้าห่มองค์พระธาตุและเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ 3 รอบ จากนั้นได้เดินทางต่อไปยัง
ตลาดวโรรสหรือ “กาดหลวงเชียงใหม่” ท่ามกลางกลุ่มมวลชน ที่รอต้อนรับให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ เมื่อเดินทางถึงกาดหลวงเชียงใหม่แล้วนายทักษิณได้เดินพบปะทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ และมุ่งตรงไปยังร้านขายหนังสือพิมพ์ “อรุณศรี” ที่ตั้งแผงอยู่ในตลาดวโรรส เพื่อพบกับนางอรุณศรี พวงพฤกษา หรือป้าศรี อายุ 83 ปี ซึ่งรู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่นายทักษิณอายุ 16 ปี โดยเมื่อพบกันทั้งคู่ต่างดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง และโผเข้ากอดกัน พร้อมพูดคุยกันคุ้นเคย หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนางอรุณศรีได้มอบน้ำผึ้งให้เป็นของขวัญแก่นายทักษิณ
จากนั้นนายทักษิณ ได้เดินเยี่ยมชมภายในกาดวโรรส และพบปะทักทายประชาชนจำนวนมากที่มารอต้อนรับด้วยความคิดถึงและอยากพบหน้านายทักษิณ ซึ่งผู้คนที่มารอต่างดีใจที่ได้พบนายทักษิณอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง เสร็จแล้วนายทักษิณ ได้เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านข้าวซอยเสมอใจฟ้าฮ่ามซึ่งเป็นร้านอาหารโปรด ขณะที่ช่วงบ่ายนายทักษิณ จะเดินทางไปสุสานฝังอัฐิของนายเลิศและนางยินดี ชินวัตร พ่อแม่ของนายทักษิณ ที่อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไหว้อัฐิพ่อแม่
4) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 - นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “คำแถลงของคุณดนุพร โฆษกพรรคเพื่อไทย ควรใช้เป็นต้นเรื่องเพื่อสอบ ราชทัณฑ์และ รพ. ตำรวจ จนถึง รมว.ยุติธรรมได้” ความว่า
“โฆษกเพื่อไทย ได้ตั้งโต๊ะแถลงอาการป่วยคุณทักษิณ โดยอ้างว่าได้มาจากการสอบถามไปยังคุณอุ๊งอิ๊ง ที่เป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้น ข้อมูลที่แถลงจึงควรเป็นข้อมูล
ที่เชื่อถือได้มากที่สุด โดยสรุปอาการป่วยคุณทักษิณคือ
1.เคยเป็นโควิด 3 รอบ ปัจจุบันยังมีอาการเป็นลองโควิด และสภาพปอดไม่อยู่ในภาวะปกติ 100% เหมือนคนทั่วไป
2.กระดูกคอเสื่อม ตามวัย มีการทำ MRI แล้ว แต่ยังรอรักษา
3.เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ตามวัย ผ่าตัดแล้วในช่วงอยู่ รพ.ตำรวจ ต้องกายภาพต่อ 1 ปี
คำถามที่ต้องถามคือ อาการป่วยเหล่านี้ คือ อาการป่วยวิกฤต ที่ ไม่สามารถรักษาได้ในโรงพยาบาลของเรือนจำและจำเป็นต้องพักรักษาตัวถึง 180 วัน ในห้องวีไอพี รพ.ตำรวจ โดยอ้างว่า มิเช่นนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิตหรือไม่
การสอบสวน จะเป็นการชี้ว่า มี จนท.รัฐใด ที่ใช้วินิจฉัยโดยไม่ชอบนำไปสู่การประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจ ไปถึง รมว.ยุติธรรม ที่กำกับดูแล ขอบคุณ โฆษกพรรค ที่ออกมาชี้แจงให้สังคมได้ทราบ” แต่ก็นั่นแหละ จนบัดนี้ ยังไม่มีใครได้ทำตามข้อเสนอแนะของ อ.สมชัยเลยแม้แต่น้อย”
5) เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2567 นายสมชัย ศรีสุทธิยากรโพสต์ข้อความเรื่อง “สิ่งที่เห็นจากกรณี “ทักษิณ”ปิ๊กบ้านเกิด” ความว่า
1.คุณทักษิณ ไม่ได้ป่วย แข็งแรงมากกว่าคนปกติด้วยซ้ำ เพราะกำหนดการแน่น ตั้งแต่ตีห้า ถึงสองทุ่มโดยแทบไม่ได้พัก คนปกติยังทำแล้วเหนื่อย
2.คุณทักษิณ อยากให้คนมาพบ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรี นักการเมือง ผู้ว่าฯ อธิบดี เพราะการที่คนเหล่านั้นมาพบและบรรยายสรุปด้วยความนอบน้อม ยิ่งเป็นการให้เห็นว่า ยังเป็นผู้มากบารมี
3.คนอยากพบคุณทักษิณ จึงมีตั้งแต่ นักธุรกิจใหญ่รัฐมนตรี นักการเมืองท้องถิ่น อธิบดี ตำรวจใหญ่ ที่ไม่มาพบอาจเป็นทุกข์ ได้พบอาจพ้นทุกข์ กลายเป็นการห้อมล้อมที่เกินงาม และเป็นคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่
4.การขออนุญาตจากราชทัณฑ์ ในการกลับบ้านไหว้บรรพบุรุษ จึงเป็น event ทางการเมือง เพื่อแสดงถึงบารมีคน เพื่อส่งผลต่อคะแนนนิยมพรรค แต่กว่าจะเลือกตั้งนั้นยังอีกนาน การรีบเปิดตัวน่าจะเป็นลบมากกว่าบวกหรือไม่ ต้องคำนวณเอาเอง
6) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตนเห็นภาพ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ มีการต้อนรับจากข้าราชการหลายระดับ หลายคน นับตั้งแต่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, อธิบดีกรมชลประทาน, รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับเหมือนกับผู้นำประเทศ หรือวีรบุรุษสงคราม หรือนักชกเหรียญทองโอลิมปิก หรือผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ หรือแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ ฯลฯ
ตนไม่แปลกใจหากจะมีคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด อย่าง นายสมชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตนักการเมือง และอดีตข้าราชการ รวมถึงมวลชนคนเสื้อแดง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่มีความเคารพนับถือ คนรักใคร่ชอบพอกัน แต่กรณีที่รัฐมนตรี ข้าราชการ ที่ตำแหน่งในกระทรวง ทบวง กรม ใช้เวลาราชการไปต้อนรับและกล่าวบรรยายสรุป เรื่องภารกิจของหน่วยงาน เรื่องแหล่งน้ำ และมีการตัดริบบิ้นปล่อยปลา ปลูกต้นไม้ ฯลฯ จึงทำให้สงสัยว่า ทำไมต้องดูแลต้อนรับนายทักษิณเป็นพิเศษเช่นนี้
“อย่าลืมว่า ตอนนี้ คุณทักษิณ อยู่ในฐานะนักโทษคนหนึ่ง ที่ได้รับการพักโทษ ยังไม่พ้นโทษจะใช้ฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ถ้าคุณทักษิณพ้นโทษไปแล้ว กลับไปเป็นประชาชนคนธรรมดา การจะให้เกียรติอดีตนายกรัฐมนตรี ก็สามารถทำได้ จะไม่ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือตำหนิของสังคม”
นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับกล่าวให้ท้ายบรรดารัฐมนตรีและข้าราชการ ที่ใช้เวลาราชการไปต้อนรับนักโทษ อย่างนายทักษิณ ว่า ไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย จึงทำให้แปลกใจว่า นายเศรษฐา ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศนี้ กลับไม่รักษากฎระเบียบวินัยของข้าราชการ และกำชับให้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามระเบียบวินัยของข้าราชการประจำ
“ประเทศไทยคงเป็นประเทศเดียวในโลก ที่นักโทษชาย เดินทางเหมือนกับการตรวจราชการ โดยมีระดับรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง มาคอยต้อนรับและบรรยายสรุปภารกิจงานของกระทรวง กรม ให้นักโทษชายรับทราบ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม และความถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง” นายเทพไท กล่าว
7) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ปรากฏการณ์ทักษิณ ชินวัตรเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช โดยใส่สูท สวมแมสก์ปิดปาก ปิดจมูก ไม่ใส่ปลอกคอเฝือกอ่อน แขนไม่มีสายพยุงไว้เหมือนตอนออกจาก รพ.ตำรวจ เมื่อ 18 ก.พ. 2567ที่ผ่านมานั้น สังคมมองด้วยความไม่สบายใจ เพราะทุกเรื่องไม่ได้ปฏิบัติตามทำนองคลองธรรมของกระบวนการทางกฎหมายที่เท่าเทียมกัน
“เมื่อเวลาประมาณตี 4-5 ของวันที่ 14 มี.ค. ทักษิณไปไหว้ศาลหลักเมืองกลับสวมปลอกคอเฝือกอ่อน แสดงอาการกลับไปกลับมาอยากมีปลอกและใส่เฝือกอ่อนที่คอบ้าง ภาษากายเช่นนี้คงสะสมความรู้สึกมึนงงของสังคมมากขึ้นตามลำดับ แล้วใส่ปลอกคอเดินทางไปเชียงใหม่เมื่อช่วงสายวันเดียวกัน”
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อทักษิณจากบ้านไปนาน17 ปี การกลับมาถ้าได้ติดคุกสักวันตามประสานักโทษคดีทุจริตแล้ว คนย่อมยินดีปรีดิ์เปรม แต่ที่สังเกตเห็นกลับมีพฤติกรรมที่ซับซ้อน อ้างป่วย ไม่ยอมติดคุกแม้วันเดียว ทำให้กลไกรัฐถูกกระทบกระเทือนและกระบวนการยุติธรรมต้องยับเยินกับการบังคับใช้ไม่เท่าเทียม
นอกจากนี้สิ่งที่คาดหวังไว้คือ อารมณ์สังคมจะเต็มไปด้วยการต้อนรับทักษิณที่เชียงใหม่ แต่เมื่อตั้งรัฐบาลตระบัดสัตย์รอบวงแล้ว สิ่งที่เห็นกลับมีแต่กองทัพสื่อมวลชนรอต้อนรับเพื่อทำข่าวบันทึกภาพเท่านั้น ส่วนคนเสื้อแดงถือว่า มาต้อนรับน้อยมากที่สุด
“สะท้อนว่า ความศรัทธาไม่ได้ผูกขาดไว้กับใครแต่ความศรัทธาจะสิ้นศรัทธาเมื่อเกิดวิกฤตศรัทธา เพราะความเชื่อได้ถูกทำลายไปหมดสิ้น ดังนั้น สิ่งที่เห็นชัดเจนจากภาพต้อนรับทักษิณที่เชียงใหม่ แสดงถึงอารมณ์ประชาชนได้ถดถอยอย่างน่าตกใจ ซึ่งเป็นเพราะจุดยืนทางการเมืองเสียหาย”
ส่วนทักษิณไปเชียงใหม่จะกู้ความนิยมพรรคเพื่อไทยกลับมาได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าอารมณ์ประชาชนมีการตื่นตัวชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีแต่ความถดถอย ดังนั้น ในทางการเมืองและความรู้สึกกับการดีลกลับบ้าน เพื่อไทยตั้งรัฐบาล สกัดพรรคก้าวไกลเติบโต จึงแลกด้วยความสูญสิ้นศรัทธากันยับเยิน
“ถ้าหลายคนคาดหวัง ว่า ทักษิณ กลับมาจะขับเคลื่อนการเมืองนั้น ยิ่งทำให้นายเศรษฐา อยู่ลำบากที่สุด เพราะไม่เป็นไปตามคำอ้างขอกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ดังนั้น หากเข้าไปเกี่ยวข้องเชิงอำนาจการเมือง ขืนทำตัวเป็นศูนย์กลางจักรวาลของรัฐมนตรีที่ต้องลาราชการมาตรวจงาน เมื่อไปจังหวัดอื่นเช่นนี้มากเข้า ก็จะเริ่มหลงเสียง จะทำความขัดแย้งให้กลับมาอีก ซึ่งยากหลีกเลี่ยงได้”
นายจตุพร คาดว่า นับจากนี้ไปสถานการณ์ทางการเมืองยิ่งจะมีเรื่องราวให้ติดตามกันอย่างยุบยับเต็มไปหมด เพราะส่วนหนึ่งเป็นเรื่องราวที่มีความสะสมอารมณ์และข้อตกลงดีลกันไว้ หากเบี้ยวคงถูกงัดออกมาเล่นงานพรรคเพื่อไทยในวันใดวันหนึ่ง
“ยิ่งใกล้วัน สว.หมดอายุวันที่ 11 พ.ค. แต่ยังทำหน้าที่ต่อจนกว่าจะมีชุดใหม่เข้ามา เมื่อ สว.จะหมดอายุยิ่งเป็นเงื่อนไขนำสู่แรงกดดันทุกฝ่าย หลังจากนั้น ยิ่ง สว.ไม่มีสิทธิเลือกนายกฯ สภาพการร่วมรัฐบาลจะยิ่งยับเยินเพื่อจับมือตั้งรัฐบาลกันใหม่อีก และสุดท้ายเพื่อไทยจะอ้างเอาดีถึงการดีลว่า เป็นทางรอดทางเดียวที่ยอมข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาล” นายจตุพร กล่าว
สรุป : ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อย รู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเห็นและรู้สึกเหมือนๆกันว่า ทักษิณไม่น่าจะป่วยหนัก แต่ที่ป่วยหนักและอาการวิกฤต คือ หลัก “นิติรัฐ นิติธรรม” ความยุติธรรมการรู้จักผิดชอบชั่วดีและยางอายของนักการเมืองทั้งอดีตนักการเมือง และนักการเมืองปัจจุบัน ที่ประพฤติตนเป็น “ขี้ข้า” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี