มาถึงตรงนี้ คนแวดล้อมผู้เขียนเอง เริ่มทยอยหันไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาสังคมรอบข้างตนเองดูบ้าง เป็นอย่างไร?
บางท่าน เริ่มใช้ยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว
หลายท่าน คงมีมิตรสหาย คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน ใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากันบ้างแล้ว ใช่หรือไม่?
นี่คือแบบทดสอบง่ายๆ ว่า ยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อราคาถูกลง เข้าถึงง่ายขั้น
สถานีชาร์จและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากขึ้น การใช้ก็แพร่หลายขึ้น
1. สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
ส่วนใหญ่ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน
ขณะนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากผู้ผลิตรถยนต์จีน ที่ต้องการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ
ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก
ปัจจุบัน จีนมีแผนการตั้งโรงงานในไทยแล้วอย่างน้อย 5 แห่ง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ทั้งนี้ เมื่อ 17 สิงหาคม 2565 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติการลงทุนของบริษัท BYD จากประเทศจีน ที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ BEV และ PHEV มูลค่าการลงทุน 17,891 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ ในปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีค่ายรถจากยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน อีกหลายค่ายที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้ามาลงทุนผลิตรถ EV ในไทยด้วย
2. ไทยยังมีโอกาสเป็นแนวหน้า EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ติดตามและศึกษาสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ทั้งสถานการณ์การค้าโลกและไทย เพื่อนำมาประเมินโอกาสและความท้าทายของประเทศจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
ล่าสุด เปิดเผยรายงานที่น่าสนใจมาก ยืนยันว่า ไทยยังมีโอกาสเป็นแนวหน้า EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2.1 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกตื่นตัวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เป็นผลสืบเนื่องจากความผันผวนของราคาพลังงานและการตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรง
ส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์การค้ารถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2566 พบว่า การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า Plug-in (BEV และ PHEV ) ของทั้งโลก มีมูลค่ารวม 175.60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 29.40
โดยประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 25.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เยอรมนี 22.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเบลเยียม 18.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in ของทั้งโลก มีมูลค่ารวม 201.49พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 43.83
โดยประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ เยอรมนี 54.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จีน 38.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเบลเยียม 19.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.2 อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ได้เติบโตต่อเนื่องในทิศทางเดียวกับโลก
ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า Plug-in จากตลาดโลก ในปี 2566 มูลค่ารวม 3,048.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 345.28
ซึ่งประเทศที่ไทยมีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน 2,549.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เยอรมนี 172.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย 119.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สอดคล้องกับยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ (BEV, PHEV, HEV ) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากจำนวน 71,450 คัน ในปี 2565 (ร้อยละ 20.52 ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด) เป็น 168,425 คัน ในปี 2566 (ร้อยละ 41.39 ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด)
โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 18.08)
ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in ของไทยไปตลาดโลก มีมูลค่ารวม 11.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 326.78 โดยไทยส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังสิงคโปร์มากที่สุด มูลค่า 3.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตสูงถึงร้อยละ 3,177.94 เมื่อเทียบจากปีก่อน รองลงมา ได้แก่ ลาว 2.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 1.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.3 หลายประเทศในโลกได้ออกมาตรการเพื่อสนับสนุนและผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ผอ.สนค. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการเหล่านั้น มีทั้งในมิติการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ การส่งเสริมผู้ประกอบการ และการ
กระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ภาครัฐได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายใต้นโยบาย 30@30 อาทิ มาตรการเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาตรการส่งเสริมการนำเข้าและการผลิตในประเทศ โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเพื่อชดเชยการนำเข้า รวมถึงส่งเสริมการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
ผอ.สนค. ชี้ว่า จากการที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายในที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูง จึงอาจทำให้ไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน ประกอบกับมีพื้นที่ยุทธศาสตร์ซึ่งมีความพร้อมทั้งทางด้านคมนาคม แรงงาน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและทำให้ไทยมีโอกาสขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2.4 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
สนค. มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการสนับสนุนและส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการค้าของไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไทย รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(1) เร่งส่งเสริมการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษามูลค่าการส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยอาจพิจารณาผลักดันการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังประเทศที่มีแนวโน้มความต้องการและโอกาสการเติบโตสูง อาทิ กลุ่มประเทศอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน
(2) สร้างความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในตลาดปัจจุบัน อาทิ จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่ง และเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสามารถนำมาต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาการผลิตของไทย
(3) ประสานความร่วมมือกับประเทศที่มีวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือถ่ายโอนเทคโนโลยี และเพื่อทราบถึงมาตรฐานความต้องการแบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ผลิตไทยสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานได้
(4) ปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย รวมทั้งกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก เพื่อให้ไทยสามารถหาประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ในกิจกรรมการค้าที่จะมีมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นตลาดที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโต
(5) ติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างใกล้ชิดโดยอาจประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ผลิตและส่งออก ทั้งรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์
(6) สนับสนุนการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการต่างประเทศ เพื่อจัดทำความร่วมมือกับประเทศที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ อินโดนีเซีย ที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือและความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาค
(7) ศึกษาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่มีศักยภาพเพิ่มเติม อาทิ อินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
(8) ผลักดันผู้ประกอบการให้เร่งศึกษา ทำความเข้าใจ และใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ในกรอบต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก
3. เป้าหมาย ไทยจะเป็น Hub ของยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 2567) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจะเป็น Hub ของยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
โดยบอร์ดอีวีแห่งชาติ ได้ตั้งเป้าหมายจะผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษอย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2573
เรียกว่า นโยบาย 30@30
ในส่วนของ อว. มีนโยบาย “อว.For EV” ใน 3 เสาหลัก ได้แก่
EV HRD หรือการผลิตกำลังคนให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เป้าหมาย 150,000 คนใน 5 ปี
EV Transformation หรือการเปลี่ยนรถ ICE เป็นรถ EV ในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของ อว. เป้าหมาย 30% ภายในปี 2030
และ EV Innovation เพื่อยกระดับผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ผ่านความร่วมมือจากทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และ ภาคเอกชน จำนวน
100 ราย โดยการจัดสรรทุนวิจัยจากกองทุน ววน. ประมาณ 3,000 ล้านบาทใน 5 ปี
“..สิ่งที่ อว.จะเร่งดำเนินการ คือ การพัฒนาทักษะกำลังคน เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับการ Upskill กำลังคนในอุตสาหกรรมรถยนต์ควบคู่ไปด้วยกำลังคนที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย กำลังคนด้านการออกแบบ การผลิต การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการซ่อมบำรุง สถานีบรรจุและโครงสร้างพื้นฐาน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีความต้องการกำลังคนอย่างน้อยปีละ 5,000 คน ซึ่ง อว. ได้วางแผนการผลิตกำลังคนเหล่านี้ให้เพียงพอแล้ว” – รมต.อว.ระบุ
4. จะเห็นว่า ข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบัน ประกอบกับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายข้างต้น ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันเลย
ปัจจุบัน โรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบในโรงงานไทยทั้งคันออกมาแล้วด้วย
นี่คืออีกหนึ่งนโยบายที่ต่อเนื่องมาจากสมัยรัฐบาลลุงตู่ และสานต่อโดยรัฐบาลปัจจุบัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี