พิเคราะห์จากที่วารสาร Time ของอเมริกาสัมภาษณ์พิเศษนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเป็นรายงานหน้าหนึ่งวันที่ 25 มีนาคม 2567 ที่ฮือฮากันตามประสาสื่อไทยที่มักไม่อ่านรายละเอียดว่าความจริงแล้วสื่อต่างประเทศตั้งธงจะรายงานข่าวชื่นชมหรือเขียนข่าวทับถมประเทศไทย
หากได้อ่านรายละเลียดในห้าหัวข้อของการสนทนาพบว่า Time ตั้งธงไว้ล่วงหน้าจะนำเสนอข้อครหาต่างๆ ในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเรื่องที่นายเศรษฐา เชิญประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน มาเยือนประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดใจประเทศตะวันตกที่ใช้ ประธานาธิบดีเซเลนสกี แห่งยูเครน เป็นหุ่นเชิดรับหน้าการปะทะระหว่าง นาโต้กับรัสเซีย
Time ซึ่งได้สัมภาษณ์พิเศษนายเศรษฐา เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ เริ่มต้นโปรยข่าวด้วยประเด็นเบาๆ ว่า “นายเศรษฐาไม่ได้โกรธ เทย์เลอร์ สวิฟต์ และนายกรัฐมนตรีไทย ไม่ได้โกรธสิงคโปร์ ที่คว้า เทย์เลอร์ สวิฟต์ เอาไว้ให้แสดงคอนเสิร์ต Erad Tour ในสิงคโปร์ที่เดียวในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”นายเศรษฐา เพียงพูดว่า “สิงคโปร์ฉลาดมาก”นายเศรษฐา ไม่ได้โกรธสิงคโปร์ เพียงแต่อิจฉาเนื่องจากว่าไทยก็อยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน หลังจากนั้นไทม์ก็ร่ายยาว เรื่องที่นายเศรษฐา ต้องการนักร้องอเมริกันมาเล่นคอนเสิร์ตในเมืองไทยก่อนจะพูดกันในประเด็นที่ไทม์เตรียมไว้ห้าหัวข้อ
1. Not taking sides between Russia and Ukraine
ประเด็นแรก : ไทม์อยากรู้ท่าทีของไทยในสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ประเด็นนี้ไทม์ คงติดใจมาตั้งแต่นายเศรษฐา พบกับประธานาธิบดี ปูติน ระหว่างการร่วมประชุม Road and Bell หรือ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางในกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนตุลาคมปีกลายที่นายเศรษฐาเชิญประธานาธิบดีปูตินมาเยือนประเทศไทย ไทม์เริ่มต้นรายงานประเด็นนี้ว่า # นายเศรษฐาปกป้องตัวเองที่เชิญประธานาธิบดี ปูตินมาเยือนประเทศไทย #ไทม์ใช้คำว่าปกป้องตัวเองย่อมหมายความว่า การเชิญปูติน มาเยือนไทยเป็นความผิดในสายตาฝรั่ง ก่อนจะรายงานคำพูดของนายเศรษฐาว่า
...“ไทยไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในสงครามยูเครน ประเทศไทยไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนานาชาติ เราไม่สนับสนุนความรุนแรง เรายึดมั่นใน กฎหมายสากล เราอยู่ฝ่ายสันติภาพเพราะเราเชื่อว่าประชาคมนานาชาติต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สถานการณ์ในยูเครนผลักดันให้โลกแบ่งขั้ว กดดันให้หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเลือกข้าง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดความพยายามส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง... ประเทศไทยเชื่อในความร่วมมือพหุภาคีและความร่วมมือนานาชาติมากกว่าการแบ่งแยกโลกเป็นส่วน..”
2. Thailand’s controversial royal defamation law is here to stay
ประเด็นที่สอง : ไทม์โปรยข่าวว่า การโต้แย้งประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังคงมีต่อไป...และรายงานว่านายเศรษฐาเป็นผู้ปกป้อง#กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่เรียกว่า มาตรา 112 อย่างแข็งขัน แต่ไทม์ไม่ได้รายงานว่านายเศรษฐาพูดว่า อย่างไรในประเด็นนี้ และไทม์ก็เหมือนสื่อตะวันตกทั่วไปที่ใส่สีตีไข่ พูดในแง่ลบเขียนในแง่ลบต่อกฎหมายปกป้องสถาบันว่า “มาตรา 112 เป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลก ผู้ละเมิดกฎหมายนี้มีโทษจำคุกถึง 15 ปี บางรายถูกศาลสั่งจำคุก 50 ปี ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมามีเยาวชน นักศึกษานักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยถูกดำเนินคดี มาตรา 112 แล้ว กว่าสองร้อยคน รวมทั้งเด็กหญิงอายุ 14 ปี และอดีตข้าราชการพลเรือนวัย 80 ปี ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย
3. Srettha wants to resolve Myanmar’s civil war
ประเด็นที่ 3 : ไทม์โปรยว่า นายเศรษฐาโวว่าจะเป็นหัวหอกในความพยายามนำสันติภาพมาสู่เมียนมา และให้รายละเอียดว่า เมียนมาประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ที่พังพินาศเพราะสงครามกลางเมืองนองเลือดตั้งแต่ทหารยึดอำนาจ 1 ก.พ. 2564 และอ้างคำพูดของนายเศรษฐากล่าวว่า...“ไทยมีชายแดนร่วมกับเมียนมา 2,416 กม.ถือว่าไทยเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นสันติภาพในเมียนมาจะเป็นผลประโยชน์ทั่ว 10 ประเทศสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน..อาเซียนได้ตกลงกันว่าให้ประเทศไทยนำ” นายเศรษฐาพูดถึงการเจรจาสันติภาพ “ผมเชื่อว่าในไม่ช้าเราจะได้ข้อยุติ”
นอกเหนือจากความกังวลในเรื่องมนุษยธรรม นายเศรษฐา กล่าวว่า สันติภาพเป็นผลดีสำหรับธุรกิจ “อาเซียนมีประชากร 650 ล้านคน ซึ่งประมาณ 10% เป็นเมียนมา พูดง่ายๆ #คือเมียนมาเป็นสมาชิกไม่สร้างสรรค์ของภูมิภาค พูดกันถึงศักยภาพของภูมิภาคหากคุณมีสันติภาพเอกภาพในเมียนมา”
ในประเด็นเมียนมา ไม่รู้ว่านายเศรษฐาพูดจริง หรือไทม์เขียนเอาตามที่ตั้งธงไว้ว่า“เมียนมาเป็นสมาชิกไม่สร้างสรรค์ของภูมิภาค..” ซึ่งเป็นคำพูดที่ผู้มีมารยาททางการทูต เขาไม่พูดถึงเพื่อนบ้านทำนองนั้น อีกอย่างที่อ้างว่า อาเซียนตกลงให้ประเทศไทยนำ(การเจรจาเพื่อสันติภาพ ) ถือเป็นคำพูดที่ไม่มีมารยาท เพราะปีนี้ สปป.ลาว เป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน ประเทศไทยเป็นเพียงหนึ่งในสิบประเทศสมาชิกเท่านั้นไม่ควรคุยโวออกหน้าว่าเป็นผู้นำการเจรจาแสวงหาสันติภาพ....ในความเป็นจริงประเทศไทยเคลื่อนไหวเงียบๆในการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีส่วนได้เสียในวิกฤตการเมืองเมียนมามานานแล้ว แต่เป็นธรรมเนียมของไทยที่ใช้การทูตเงียบ (Quiet Diplomacy) ไม่ใช่คุยโม้โฉ่งฉ่างให้เข้าทางฝรั่งดังนายเศรษฐาพูดกับไทม์
4. He’s the boss—for now
ประเด็นที่ 4 : ไทม์ คงสงสัยในสถานะของนายเศรฐาถึงได้โปรยหัวว่า “สำหรับเวลานี้เขาเป็นนาย” (He is the boss---for now,) ไทม์ บรรยายประเด็นนี้ว่า นายเศรษฐาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกันกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเศรษฐีและผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทยกลับบ้านหลังจากลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ 15 ปีทักษิณถูกยึดอำนาจในปี 2549 และถูกศาลตัดสินจำคุกลับหลังในคดีคอร์รัปชั่นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเขาถูกควบคุมที่สนามบินและภายหลังย้ายไปอยู่โรงพยาบาลได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษให้เป็นพิเศษ เป็นที่เข้าใจกันว่า เศรษฐา เป็นแคนดิเดตที่พอรับได้ โดยนายทักษิณและฐานอำนาจในกองทัพผู้จงรักภักดีวางตัวเขาให้หยุดการคุกคามของพรรคก้าวไกลที่มีวาระสุดโต่ง นายเศรษฐาเปิดเผยกับไทม์ว่า เขาโทรศัพท์ไปหาทักษิณ หลังจากได้รับการพักโทษและยินดีที่ได้รับคำแนะนำจากท่านในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐายืนยันว่า“ผมควบคุม (อำนาจบริหารประเทศ) ไทม์ รายงานด้วยว่า ยังมีบารมีของแพทองธาร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ ที่ได้รับการสถาปนาให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นเงาตามเขาอยู่ ซึ่งผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า เธอจะแทนที่นายเศรษฐาในไม่ช้านี้ แต่ดูเหมือนว่านายเศรษฐาไม่สะทกสะท้านต่อเสียงวิจารณ์ และกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งเธอต้องสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี อีก 4 ปีข้างหน้า แต่ในห้วงเวลา 4 ปีนี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของผม”
5.Diehard red
ประเด็นที่ 5 : นายเศรษฐา เป็นแฟนตัวยง ทีมหงส์แดง ประเด็นนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่ไทม์ยกขึ้นมาคุยกับนายเศรษฐาเพราะคติของสื่อที่ว่า Animal Sport and Sexเป็นความสนใจร่วมกันในการรายงานข่าวต่อชาวโลก ไทม์รายงานว่านายเศรษฐาเป็นแฟนตัวยงของทีมหงส์แดง (ลิเวอร์พูล) ถึงแม้ว่าเขาเป็นแฟนหงส์แดงเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้สึกกังวลต่อการจากไปของผู้จัดการชาวเยอรมัน Jergen Klopp ประกาศยุติกับสโมสรนี้เพียงเก้าปีหลังจากสิ้นฤดูกาลนี้จะไม่มีเขา
ไทม์อ้างคำพูดนายเศรษฐาว่า“ผมคิดว่า เขาจากไปด้วยเหตุผลที่ดี เพราะเขาพอแล้ว หากเขาอยู่ต่อไปผมไม่แน่ใจว่าเขาจะมีผลงานเหมาะสมเหมือนเก่า ผมกังวลเรื่องการเปลี่ยนผ่านระหว่าง ศูนย์หน้า Sadio Mabe Roberto Firmino, and Mohamed Salah มากกว่า เมื่อนักบอลหนุ่มเหล่านี้เข้ามาร่วมทีม” การแสดงความรู้สึกกังวลถึงการเปลี่ยนผ่านกองหน้าในทีมหงส์แดง แสดงว่านายเศรษฐา รู้เรื่องทีมฟุตบอลอังกฤษดีมากกว่ากิจการต่างๆตลอดถึงเรื่องปากท้องของคนไทย
ก่อนจบบทความชิ้นนี้ ในฐานะที่ทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศมาหลายสิบปี อยากให้สติแก่นักการเมืองหิวแสงว่าสื่อต่างประเทศส่วนใหญ่มักเสนอแต่ในแง่ลบของประเทศไทยเพราะเป็นนโยบายของตะวันตกที่อาจนำข้อเขียนในแง่ลบ ไปใช้เป็นเงื่อนไขในการกดดันต่อรองในสิ่งที่ประเทศตะวันตกต้องการ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี