ในวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2475 หลังจากสภาฯมีมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญ และได้พิจารณาร่างกฎหมายที่ค้างอยู่เสร็จแล้ว จึงได้พิจารณาร่างกฎหมายเลือกตั้งฉบับแรกของสยาม โดยพระยามโนฯได้ขอให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมฯ ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นผู้อธิบาย
หลวงประดิษฐ์ฯกล่าวว่าในพระราชบัญญัติฉบับนี้แบ่งเป็นสองภาคที่สำคัญ ภาคหนึ่งนั้นว่าด้วยสมาชิกสภาประเภทที่ราษฎรเลือกตั้ง กับภาคที่สองว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ซึ่งภาคนี้มีอยู่เพียง มาตราเดียว หลวงประดิษฐ์ฯ อธิบายต่อว่าการเลือกสมาชิกสภาประเภทที่ 1 นี้จะต่างไปจากที่เคยกำหนดไว้ในธรรมนูญการปกครองฯซึ่งจะเป็นการเลือก 3 ชั้น โดยจะเหลือเพียง 2 ชั้น คือให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลในชั้นแรกและชั้นที่สองให้ผู้แทนตำบลเลือกผู้แทนราษฎร
สำหรับราษฎรที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งนั้นจะต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่ใช่บรรลุนิติภาวะเพราะบรรลุนิติภาวะนั้นบุคคลที่อายุ 18 ปีและแต่งงานแล้วก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะ จึงใช้อายุเป็นตัวกำหนด ส่วนผู้ที่จะสมัครเป็นผู้แทนราษฎรได้ต้องอายุ 23 ปีบริบูรณ์ เรื่องการกำหนดอายุผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรนี้ได้มีการถกเถียงกันมาแล้วในขั้นอนุกรรมการยกร่างฯพระยาปรีดานฤเบศร์ อนุกรรมการยกร่างฯได้มานำเสนอให้พิจารณากันอีกในสภาฯ จึงมีความเห็นตอบกันไปโต้กันมา แต่ผลที่สุดก็ลงมติเห็นด้วยตามร่างที่เสนอคือให้คงไว้ที่อายุ 23 ปีบริบูรณ์
กฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้มีข้อสังเกตสำคัญที่ขอยกมาเล่าสู่กันฟัง 2 ประเด็น
เรื่องแรก ผู้ลงสมัครแม้จะเป็นข้าราชการก็ไม่ต้องลาออกจากราชการเว้นแต่จะทำงานรับราชการอยู่ในจังหวัดที่ตนลงสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรดังความในมาตรา 8 ว่า
“ข้าราชการรับพระราชทานเงินเดือนของรัฐบาล ประจำในจังหวัดใด จะสมัครรับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดนั้นไม่ได้ และถ้าได้รับเลือกตั้งจากจังหวัดอื่นแล้วต้องลาออกจากตำแหน่งประจำการ…”
เรื่องที่สอง การเลือกตั้งผู้แทนตำบลจะต่างกับการเรียกผู้แทนราษฎรดังที่หลวงประดิษฐ์ว่า
“การเลือกผู้แทนตำบลต่างกับการเลือกผู้แทนราษฎร การเลือกผู้แทนตำบลนั้นเลือกหนเดียว ถือคะแนนมากที่สุดเป็นเกณฑ์ คือเอาความสะดวกมิฉะนั้นจะยุ่งยากแก่ราษฎรที่ต้องมาออกเสียงหลายหลายหน แต่การเลือกผู้แทนราษฎรนั้นเราบัญญัติให้มีการเลือกสองหนได้ การเลือกผู้แทนราษฎรนั้น ครั้งแรกถ้าหากว่าผู้ได้รับเลือกได้คะแนนเกินครึ่งแล้วก็ได้เป็นผู้แทนในครั้งแรกทีเดียว ถ้าครั้งแรกไม่ได้คะแนนสูงเช่นนั้น ต้องมีการเลือกอีกครั้ง 1ครั้งที่ 2 นี้เอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์…”
วิธีเลือกผู้แทนราษฎรสองหนนี้ หลวง ประดิษฐ์ยอมรับว่าเป็น“วิธีที่ที่ใช้ในฝรั่งเศสและในคอนติเนนต์บางประเทศ”
การออกเสียงของผู้ใช้สิทธิ์มีลักษณะเฉพาะที่อธิบายว่า “วิธีออกเสียงนี้เป็นวิธีที่คิดขึ้นใช้ในเมืองไทยเรา แม้ในต่างประเทศเขาจะใช้วิธีอื่นก็สะดวกสู้ของเราไม่ได้” นั่นคือ “ให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงนำบัตรออกเสียงไปใส่ในหีบ ซึ่งกรรมการได้ติดเลขหมายและรูปผู้สมัครรับเลือกตั้ง”
ผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนตำบลและเป็นผู้แทนราษฎรสามารถลงสมัครได้ทั้งสองตำแหน่ง
“…ผู้แทนตำบลมาสมัครเป็นผู้แทนจังหวัดด้วยก็ได้ แต่จะสมัครเป็นผู้แทนตำบลด้วยกันหลายๆ ตำบลด้วยกันไม่ได้ … แต่ถ้าจะสมัครเป็นผู้แทนตำบลหนึ่งและในคราวเดียวกันสมัครเป็นผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นหรือจังหวัดอื่นก็ได้”
ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาฯในวันที่3 ธันวาคม พ.ศ. 2475 แต่ยังไม่ทันได้ใช้จริงก็มีการแก้ไขใหม่ในช่วงการปิดสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น เราจึงไม่เคยเห็นการเลือกตั้งสองรอบในสยาม
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี