เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับถาวรผ่านสภาฯเรียบร้อยในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และกฎหมายเลือกตั้งก็ผ่านสภาได้ในวันเดียวกัน แสดงว่าเรื่องสำคัญยิ่ง คือจัดทำรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยและเรื่องสำคัญถัดมาคือมี กฎหมายเลือกตั้งฉบับแรกผ่านสภาแล้ว เหลือเพียงแต่รอวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ได้มีการหาฤกษ์วันเวลา ตามที่พระยามโนฯได้เคยบอกไว้ว่าเป็นวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ดังนั้นสภาฯจึงไม่น่าจะมีการประชุมสภาฯอีก จนกว่าจะถึงวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าพระยามโนฯ หัวหน้ารัฐบาลเป็นฝ่ายขอให้สภาฯนัดประชุม
ในวันพฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จึงมีการประชุมสภาฯ จึงทำให้แปลกใจเมื่อแปลกใจก็ต้องไปดูว่าในวันนั้นสภาฯ ประชุมกันเรื่องอะไร พระยามโนฯนั้น บอกว่า “ที่ขอให้นัดประชุมวันนี้เพราะจะมาลาเท่านั้นเอง”อันที่จริงน่าจะเป็นการเกริ่นนำมากกว่า มีหรือจะนัดประชุมเพื่อจะมาลาโดยเฉพาะ เมื่อตามไปดูก็พบว่า แท้จริงมีเรื่องที่น่าสนใจอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือเรื่องคณะกรรมการราษฎรและเสนาบดีจะต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อมีการใช้รัฐธรรมนูญใหม่นั่นเอง
“…ตัวข้าพเจ้าทั้งในนามของคณะกรรมการราษฎร และเสนาบดีซึ่งจำเป็นจะต้องลาออกจากตำแหน่งในคราวพระราชทานรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะเหตุว่าตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว สภานี้เป็นผู้ตั้งคณะกรรมการราษฎร แต่ว่าตามรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่นี้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงตั้ง … จึงจำเป็นต้องลาออกเพื่อให้โอกาสที่จะได้โปรดเกล้าฯตั้ง… แต่การลาออกนี้ก็ต้องลาในวันที่ 10 ธันวาคม คือว่าเมื่อได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็จะทูลเกล้าฯ ถวายใบลาทีเดียว”
ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลเดิมจะอยู่หรือไม่บางท่านจึงเห็นว่าต้องพ้นตำแหน่งอยู่แล้ว แต่ต้องอยู่รอรัฐบาลใหม่มาก่อนเท่านั้นเอง พระยามโนฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลตามธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฯ จึงได้ออกมาชี้แจงให้สิ้นสงสัย
ส่วนเรื่องที่สอง พระยามโนฯบอกว่า เมื่อเวลาพระราชทานรัฐธรรมนูญ จะมีประกาศพระราชทาน และประธานสภาผู้แทนราษฎรจะได้อ่านคำกล่าวบังคมทูลพระกรุณาสนองพระราชปรารภพระราชทานรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งพระยามโนฯเห็นว่าเป็นคำกล่าวในนามสภาฯ จึงได้นำมาเสนอสภาฯ ปรากฏในวันนั้นสภาฯได้พิจารณาและมีการแก้ไขกันอยู่เล็กน้อย คำกล่าวนี้มีเนื้อความที่น่าสนใจ จึงยกมาบันทึกไว้ให้อ่านบ้าง ตอนหนึ่งมีความสำคัญว่า
“อันการที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สยามราชอาณาจักรได้มีการปกครองตามวิสัยอารยะประเทศในปัจจุบันนั้น ใช่ว่าจะได้เปลี่ยนไปโดยขาดความจงรักภักดีในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็หาไม่ แต่หากได้เป็นด้วยความคิดอันแรงกล้าในการเข้ามีส่วนช่วยปลดเปลื้องพระราชภาระ ในอันที่จะจรรโลงสยามรัฐให้รุ่งเรืองทัดเทียมอารยประเทศ”
อีกตอนหนึ่งที่มีความว่า
“เมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ยังได้ทรงอุปถัมภ์ทำนุบำรุงทุกอย่างทุกทางที่ทรงเห็นว่าเกื้อกูลแก่วิธีการของนั้น ตราบเท่าจนถึงได้พระราชทานรัฐธรรมนูญถาวรอีกวาระหนึ่งในครั้งนี้ พระเดชพระคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นที่ดูดดื่มจับใจข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้ยิ่งนัก ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงรักชาติจริงๆทรงเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์จริงๆ มิได้ทรงเห็นเหตุการณ์ปลีกย่อยประการอื่นซึ่งบังเกิดขึ้นเพราะเปลี่ยนการปกครองนั้นเป็นประมาณเลย”
คำกราบบังคมทูลนี้ประธานสภาฯ เจ้าพระยาพิชัยญาติเป็นผู้กล่าว สนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันทำในนามสภาฯ แต่ในวันนั้นไม่ใช่การประชุมสภาฯ จึงไม่มีบันทึกการประชุมไว้ รายละเอียดปรากฏในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2475
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี