สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการแต่งตั้งชุดแรกจำนวน 70 นายนั้น ที่มีข้อสังเกตว่าวันแรกที่แต่งตั้งได้มีผู้อ้างความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ยอมรับตำแหน่งหนึ่งนาย คือนายนาวาเอกพระยาวิชิตชลธี ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพเรือ ต่อมาภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนได้มีสมาชิกอีก 2 นาย ขอลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและสำคัญมากในการเมืองยุคใหม่ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ดังนั้นเรื่องเล่าจากสภาฯในครั้งนี้ จึงขอเล่าถึงการลาออกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 ท่านนี้
สมาชิกท่านแรกที่ลาออกนั้นเป็นข้าราชการประจำ เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่มียศเป็นพลตรี คือพระยาอินทรวิชิต (รัตน์ อาวุธ) ขณะนั้น
ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการเงินกลาโหม ย้อนหลังไปก่อนหน้าหน้านั้น พระยาอินทรวิชิตเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 มาก่อน ในวันที่
28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สภาฯได้เลือกพระยาอินทรวิชิตเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นการลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงทำให้ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่างลง เหตุที่ท่านได้ลาออกเพราะย้ายงานจากทหารไปทำงานพลเรือนที่กระทรวงการต่างประเทศ ไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรสยามในตอนปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ.2475 และสภาฯได้เลือกนายทหารเรือ คือนายพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรแทน ส่วนตำแหน่งสมาชิกสภาฯที่ว่างลงนั้นพระยามโนฯประธานคณะกรรมการราษฎรได้เสนอชื่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของท่าน คือพระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาลเข้าดำรงตำแหน่งแทน และสภาฯได้เห็นชอบเลือกพระยาจ่าแสนฯให้เป็นแทนตำแหน่งที่ว่างลง ที่จริงมีคนอยากทราบว่าทำไม่พระยาอินทรวิชิตลาออก ซึ่งคงตอบได้ว่าท่านต้องการเปลี่ยนงานไปเป็นทูตออกอยู่ต่างประเทศและเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตไม่อยู่ในประเทศแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะท่านอาจไม่ชอบงานในสภาก็ได้และยิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานที่บางเวลาต้องนั่งบัลลังก์ทำหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งท่านอาจจะไม่ถนัดงานการเมืองแบบนี้ก็ได้ ดังนั้นการขอออกไปทำงานต่างประเทศ จึงเป็นทางออกที่ดีที่จะพ้นตำแหน่งการเมืองไปโดยไม่ปรากฏความขัดแย้งที่แจ้งชัด
ส่วนการลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของท่านที่สองนั้นเป็นรายของนายซุ่นใช้คูตระกูล ผู้เป็นสมาชิกสภาที่มิได้เป็นสมาชิกของคณะราษฎร และมิได้มีตำแหน่งทางราชการ ถือได้ว่าเป็นบุคคลจำนวนน้อยที่มาจากภาคเอกชน เข้าใจว่าจะมีอยู่เพียง 3 คนเท่านั้นนายซุ่นใช้ผู้นี้เป็นพ่อค้าสำคัญในสมัยนั้น ท่านเป็นเจ้าของห้างรัตนมาลา ที่อยู่ตรงบริเวณพาหุรัดใกล้เฉลิมกรุง ท่านเป็นเศรษฐีใจดีของยุคนั้น ทำบุญทำทานมีชื่อเสียงปรากฏ มีคนนิยมยกย่อง นายซุ่นใช้เป็นสมาชิกสภาฯอยู่ถึงเดือนกันยายนก็ได้แจ้งต่อประธานสภาฯ ดังที่ประธานสภาฯได้แจ้งต่อสภาในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2475 ว่า นายซุ่นใช้ คูตระกูล
“…อ้างว่ามีธุระในการค้าขายส่วนตัวจะมาประชุมไม่ได้ตามเวลา และเพื่อประโยชน์แก่กิจการของสภาเห็นสมควรจะลาออกฉะนั้นจึงขอลาออกจากสมาชิก…”
การลาออกของนายซุ่นใช้นั้น ถ้าพิจารณาจากเหตุที่อ้างว่าจะมาประชุมไม่ได้ตามเวลานั้น ก็น่าจะมีน้ำหนักน้อย เพราะสภาฯจะประชุมกันปกติในเวลาเย็นหลังเลิกงานหรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะสมาชิกสภาฯที่เป็นข้าราชการจะมาประชุมได้ก็ภายหลังเลิกงานแล้ว แต่ที่แน่ๆ คือท่านไม่ยินดีที่จะเป็นต่อไป เมื่อท่านลาออกจึงทำให้ตำแหน่งสมาชิกสภาฯว่างลงประธานกรรมการราษฎรพระยามโนฯจึงได้เสนอชื่อนายพลเรือโท พระยาราชวังสัน เสนาบดีกระทรวงกลาโหมให้เป็นแทน ที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบตามที่เสนอดังนั้นการลาออกของสมาชิกสภาฯทั้ง 2 ท่านจึงทำให้ ประธานคณะกรรมการราษฎรมีเสนาบดี ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลอีกสองท่านมาช่วยงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยชี้แจงในสภาฯ
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี