มีคนอยากทราบกันว่า ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามนั้น ได้รูปแบบการปกครองมาจากประเทศใดบ้าง และมีรัฐธรรมนูญแม่แบบ
ของประเทศใดเป็นตัวอย่าง แต่ก็หาบันทึกคำบอกเล่าของอนุกรรมการยกร่างฯ ที่จะอ้างให้ปรากฏไม่ได้ มีผู้ที่เคยสัมภาษณ์สอบถาม
ผู้ร่างที่เป็นนักเรียนเก่าอังกฤษท่านหนึ่งไว้ ได้มาถ่ายทอดให้ฟังว่าอนุกรรมการท่านนั้น บอกว่าได้ดูตามแบบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขของญี่ปุ่น
หากดูจากคำแถลงของประธานอนุกรรมการฯ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาต่อสภาฯในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 นั้นพบว่าได้ศึกษาจากแบบของหลายประเทศ
“อนุกรรมการได้ค้นคว้าหาแบบแผนรัฐธรรมนูญที่เขาทำมากันแล้วในนานาประเทศ เพื่อเป็นแบบอย่าง และดัดแปลงเสียบ้างในข้อที่เห็นว่าไม่เหมาะสมแก่ฐานะในเมืองเรา”
เมื่ออ่านจากรายงานการประชุมของสภาฯในขณะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญสยาม ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนต่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2475 จึงได้ทราบว่าในที่ประชุมสภาฯ สมาชิกได้อภิปรายอ้างอิงแบบหรือแนวทาง ที่ท่านได้ทราบหรือได้รู้เห็นในหลายประเทศ ถ้าเป็นประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขก็จะมีทั้งประเทศอังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเดนมาร์ก และประเทศนอร์เวย์ ดังที่เห็นได้ว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาร่าง มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการที่พระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ พระยาราชวังสันอ้างว่า
“ในเรื่องเช่นนี้ขอชักตัวอย่างในประเทศอังกฤษ ในการเขียนสั่งการใดๆเขาเขียนว่า By Command of His Majesty the King แล้วเซ็นชื่อรับสนองพระบรมราชโองการ มิได้ใช้ว่า By advice or consent of the Executive Committee”
พระยามานวราชเสวี อภิปรายว่า ในรัฐธรรมนูญของเด็นมาร์ค มาตรา 2 “อำนาจนิติบัญญัตินั้นกษัตริย์ทรงใช้โดยความยินยอมพร้อมใจของปาลิเมนต์ ส่วนอำนาจบริหารอยู่ในพระเจ้าแผ่นดิน” และท่านยังอ้างประเทศญี่ปุ่นอีกว่า “ในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น มาตรา 5 ก็พูดถึงอำนาจนิติบัญญัติว่า กษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของปาลิเมนต์ เพราะฉะนั้น มาตรานี้ได้พิจารณา เมื่อไม่มีเมืองอื่นมีก็จริง แต่ที่เรามีก็ไม่เกินความจำเป็น”
ครั้นได้พิจารณาถึง มาตรา 11 ที่บัญญัติให้พระบรมวงศานุวงศ์อยู่ในฐานะเหนือการเมืองพระยาศรีวิสารวาจา อภิปรายตอนหนึ่งว่า
“เหตุนี้แหละนานาประเทศถือว่าเจ้านายต่างๆย่อมอยู่เหนือการเมือง บางประเทศเช่นเด็นมาร์ค นอร์เวย์ ไม่เฉพาะเจ้าอยู่เหนือการเมือง ห้ามเจ้านายรับราชการเสียด้วยจะอยู่ได้ก็แต่ตำแหน่งทหาร”
ในการพิจารณาเกี่ยวกับการตั้งคณะผู้บริหารประเทศ พระเรี่ยมวิรัชชพากษ์ นายทหารผู้เป็นนักเรียนเก่าฝรั่งเศส ยังได้อ้างถึงประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสความว่า
“ขอสนับสนุนประธานอนุกรรมการฯ ที่เห็นว่ามาตรานี้ใช้ได้ดี ข้าพเจ้าเห็นที่ต่างประเทศจะเป็นที่อังกฤษหรือฝรั่งเศสก็ดี การดำเนินไปตามรูปนี้”
เมื่อจะต้องมีคนลงนาม ได้ถกแถลงกันว่าจะให้ประธานคนเก่าหรือประธานคนใหม่เป็นผู้ลงนาม ตอนนี้พระยาศรีวิสารวาจา ได้อ้างถึง ประเทศอิตาลี มีความดังนี้
“ไม่เห็นจะรับผิดชอบอะไร บางทีประธานสภาฯ ของเราจะหนีไปเสียก่อน เพื่อให้ประธานแห่งสภาคงอยู่เสมอไป จะได้ไม่เป็นการยุ่งยากที่ไปเที่ยวหาเขา ในประเทศอิตาลี กำหนดให้ประธานคนใหม่เป็นคนเซ็น”
จึงเห็นได้ว่า ประเทศที่ยกมาอ้างนั้น มีประเทศที่มิได้มีกษัตริย์เป็นประมุขอยู่ในตอนนั้นด้วย แต่ที่น่าสังเกตก็คือไม่เห็นมีใครอ้างถึงสหรัฐอเมริกาเลย ทั้งๆ ที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรให้ปรากฏ
nn…สมกับเป็นเจ้าของสโลแกน “วราวุธรับฟังทำจริง” เพราะล่าสุด รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือพม. “พี่ลูกท็อป - วราวุธ ศิลปอาชา” มาแจ้งความคืบหน้าสิ่งที่เจ้าตัวผลักดันเต็มสูบ ประเด็นเกี่ยวกับ “วิกฤตล่ามภาษามือ” หลังประสบปัญหาด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเข้ามารับตำแหน่งรมว.การพัฒนาสังคมฯ เมื่อตั้งใจจะเดินหน้าถึงวันนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากหลายภาคส่วน ที่เห็นปัญหาเช่นกัน ทำเอารมต.พี่ลูกท็อปรู้สึกขอบคุณในการตอบรับของหลายภาคส่วนอย่างยิ่ง รวมถึงพร้อมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี...พี่ลูกท็อปบอกว่า ที่จริงไทยควรมีล่ามภาษามือมากกว่า 42,300 คน ตามสัดส่วนที่ควรเป็น แต่ปัจจุบันมีประมาณ 178 คนเท่านั้น กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงจะเร่งดำเนินการระยะสั้น โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2567 ประเทศไทยต้องมีล่ามภาษามือเพิ่มให้ได้อีกประมาณ 180 คน!!!
…งานนี้ รมต.พี่ลูกท็อปลุยประสานวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับการใช้ภาษามือ และทำโครงการหลักสูตรล่ามภาษามือโดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อผลิตล่ามภาษามือเป็นรุ่นๆ ออกมา ขณะที่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จะทำหลักสูตรภาษามือขึ้นมาเช่นกัน “ฉะนั้น ระยะสั้น ปี 2567 คาดมีล่ามภาษามือเพิ่มขึ้นประมาณ 200 - 300 คน จากเดิมที่มีแค่ 100 กว่าคนและก็แสดงว่าระยะยาว จำนวน “ล่ามภาษามือที่มีคุณภาพ” ในประเทศไทยก็จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นกัน”…
ทั่นรมว.การพัฒนาสังคมฯให้ความมั่นใจ และยังบอกด้วยว่า ผู้ใดประสงค์ต้องการใช้ล่ามภาษามือ แจ้งได้ที่สำนักงาน พม. ทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือติดต่อมาที่สายด่วน 1300 หรือศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ของกระทรวง พม.ได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ขอให้แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 - 3 วันเพราะหากบางจังหวัดยังไม่มีล่ามภาษามือ เราจะจัดหาล่ามจากภายนอกเข้าไปให้ได้ทันท่วงที... ก็ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งผลงาน ที่รมว.การพัฒนาสังคมฯตั้งใจทำเพื่อผู้พิการทางการได้ยินอย่างแท้จริง และได้รับการตอบรับดีเยี่ยม...การที่ไทยจะมีล่ามภาษามือเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสเปิดช่องทางการรับรู้ข่าวสาร การสื่อสาร ที่เป็นประโยชน์ไปถึงกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินทั่วถึงดีขึ้นเท่ากับประชาชนทั่วไป....งานนี้พี่น้องกลุ่มผู้พิการทางการได้ยินไม่รีรอ พร้อมใจปรบมือรัวๆให้รมต.พี่ลูกท็อป ดังสนั่นได้คะแนนได้ใจไปเต็มๆ เลยจ้า...nn
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี