เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านมากกว่าเสียงสนับสนุน รัฐบาลก็ไม่ฟัง จะเอาให้ได้อย่างเดียว เหมือนมีผลประโยชน์แอบแฝง ดีเอ็นเอเดียวกับ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบาย อันก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารเมื่อครั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต
โครงการ“ประชานิยมแบบทักษิณ”การแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทนี้ก็เช่นกัน เงินก็ไม่มีแต่ยังดันทุรังที่จะแจกให้ได้ ถ้าจะแจกหรือเอากันให้ได้กันจริงๆ ก็มีข้อสงสัยอีกว่าทำไมไม่แจกเป็นเงินบาท ทำไมต้องเป็นเงินดิจิทัล ที่จะต้องแลกกลับไปกลับมา ถามว่าใครได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนนี้
เสียงคัดค้านเห็นว่า การแจกเงินเป็นเงินดิจิทัลมีแต่จะสร้างปัญหา เมื่อเทียบกับการแจกเงินสด ซึ่งนอกจากประชาชนจะไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามปกติแล้ว การใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ ท่ามกลางสถานการณ์“ของแพงทั้งแผ่นดิน”นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ก็ยังมีข้อห้ามอีก เช่น การจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าเนตซื้อแก๊สหุงต้ม หรือแม้แต่นำเงินไปชำระหนี้ ทั้งๆ ที่เป็นความจำเป็นและเป็นปัญหาเดือดร้อนของประชาชนแต่ไม่สามารถนำเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทนี้ไปจ่ายได้
เงิน 5 แสนล้านบาทไม่มีอยู่ในมือ แต่พรรคเพื่อไทยได้ไปสัญญาหาเสียงไว้ตอนก่อนเลือกตั้ง เหมือน“การตกเขียว”ว่าจะให้ ครั้นจะออก พ.ร.บ.เงินกู้ก็กลัวติดคุก จึงใช้วิธีซิกแซ็กจะไปปล้นเงิน 1.72 แสนล้านบาท จาก ธ.ก.ส. มาผสมกับเงินงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินปี 2567 และปี 2568 ให้ครบ 5 แสนล้านบาท
พอธ.ก.ส.มีความเคลื่อนไหว และหวั่นวิตกเรื่องสภาพคล่อง และมีข่าวว่าคนจะแห่ไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร ปรากฏว่านายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้มา 7 เดือน ง่วนอยู่เรื่องเดียวแค่เรื่องเงินดิจิทัล เหมือนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง“ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท”ก็ว่าได้ โดยยืนยันว่า เรื่องของสภาพคล่องไม่น่าเป็นห่วง เพราะธ.ก.ส.สามารถบริหารจัดการได้ ส่วนการชำระเงินคืนก็เป็นไปตามกลไกของงบประมาณ ที่รัฐบาลจะต้องมีกลไกในการชำระคืนตามมาตรา 28 ให้กับ ธ.ก.ส.ในแต่ละปี
ฟังแล้วก็ได้แต่วังเวงใจแทน ธ.ก.ส. ซึ่งแม้เวลานี้จะมีทรัพย์สินรวมอยู่ 2.26 ล้านล้านบาท ปีหนึ่งๆ มีรายได้จากการดำเนินการประมาณ 9 หมื่นกว่าล้านบาท หักลบกลบหนี้แล้วเหลือกำไรสุทธิประมาณ 8 พันล้านบาท แต่ที่ถือว่าเป็นปัญหาก็คือ ธ.ก.ส. เองก็มีหนี้สินถึง 2 ล้านล้านกว่าบาท มีสภาพคล่องจากเงินฝากเพียงแค่ 1.8 ล้านบาทเท่านั้นขณะที่มีสินเชื่อถึง 1.2 ล้านล้านบาท และที่สำคัญ ธ.ก.ส. ยังจะต้องดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาล
ที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ผู้เปรียบเสมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง“ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท” บอกว่าเรื่องของสภาพคล่อง ธ.ก.ส.ไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ล่าสุดที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 เมษายนนั้น เหมือนพูดขอไปที เพราะเงิน 1.72 แสนล้านบาทของ ธ.ก.ส.ที่จะถูกปล้นมาแจกเป็นเงินดิจิทัล ล้วนมีต้นทุนอันจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเวลานี้ ธ.ก.ส.มีสินทรัพย์สภาพคล่องที่ปราศจากภาระผูกพันเพียงแค่ 2.78 แสนล้านบาทเท่านั้น
อีกทั้งเรื่องการชำระคืน ธ.ก.ส.ตามที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ อ้างว่า“การชำระเงินคืนก็เป็นไปตามกลไกของงบประมาณ” นั้น จะใช้หนี้คืน ธ.ก.ส.ได้หมดในปีไหน สุดท้ายก็จะกลายเป็นหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเป็น“ดินพอกหางหมู” ซึ่ง ณ เวลานี้รัฐยังคงค้างชำระหนี้คืนให้แก่ ธ.ก.ส.เป็นจำนวนเงินถึง 8 แสนล้านบาท
เฉพาะหนี้จากการทุจริตโครงการรับจำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รัฐต้องตามชดใช้ยังคงค้างจ่ายอยู่อีก 2 แสนกว่าล้านบาท จากยอดทั้งหมด 9.57 แสนล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยเปิดเผยกลางสภาฯในการชี้แจงร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2566 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ว่า “ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมาโครงการจำนำข้าวขาดทุน 957,000 ล้านบาท รัฐบาลนี้ตั้งงบประมาณชำระหนี้ไปแล้ว 781,000 ล้านบาท คงเหลือเงินต้นและดอกเบี้ยอีก 3 แสนล้านบาท”
ความจริงถ้าจะให้ดีเหมือนที่พรรคเพื่อไทยและ“ดีเอ็นเอทักษิณ”ชอบตีปี๊บป่าวประกาศกัน วันใดที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ใช้หนี้ ธ.ก.ส.ที่เหลืออีกกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร“ถ่ายเรี่ยราด”ไว้หมดสิ้นก็ควรจะประกาศเหมือนที่เคยโกหกพกลม ว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนชำระหนี้สินคืนไอเอ็มเอฟได้หมดสิ้นในปี 2544 ทั้งที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของนายชวน หลีกภัย ควรจะต้องเป็นผู้ประกาศว่าตนเองทำสำเร็จ เพียงแต่รัฐบาลนายชวนหมดวาระไปก่อนหน้ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยเพียงไม่กี่เดือนจึงถูก“ตีกิน”ผลงานไปอย่างหน้าตาเฉย
จะว่าบุญหรือบาปก็ตาม ธ.ก.ส.หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้นเหมือน“โรงรับจำนำ” แต่เป็นโรงรับจำนำที่ลูกค้ารายใหญ่คือรัฐบาลมักจะใช้บริการโดยไม่มีของมาจำนำมาเป็นเครื่องประกัน เอะอะไรก็ใช้บริการ ธ.ก.ส.ให้จ่ายเงินล่วงหน้าในการดำเนินนโยบายตามที่รัฐบาลสั่ง ซึ่งเงินจำนวน 1.72 แสนล้านบาทที่จะถูกปล้นมาแจกตามโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”ก็เช่นกัน หนี้ส่วนนี้ถือว่าเป็นภาระทางการเงินของ “สาธารณะ” เพียงแต่รัฐบาลไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการเงินในการกู้ยืมมาโดยตรง แต่ใช้วิธีซิกแซ็กแบบ“ลับ ลวง พราง”เป็นการตบตาซ่อนเงื่อน
ต้องดูกันต่อไปว่า จุดจบของโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท”จะเป็นประการใด พรรคเพื่อไทยเจ้าของนโยบายที่สัญญาว่าจะให้ดิ้นทุกวิถีทางที่จะเอาให้ได้ ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ (23 เมษายน) ก็ไปลากหัวหน้าพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลผสม อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ มายืนโชว์ตัวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมแถลงว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการกรอบโครงการ“เติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต”
นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่า “ส่วนข้อห่วงใยใดๆ เช่น ประเด็นอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. ได้สั่งการหากมีประเด็นข้อสงสัยใดๆ ให้ส่งเรื่องไปสอบถามยังกฤษฎีกา ซึ่งทุกๆ พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในหลักการของโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต ดังกล่าว” และยังไม่ทันที่สื่อจะซักถามลงในรายละเอียดต่อ นายเศรษฐาก็รีบตัดบทจบการแถลงข่าว ทำให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถึงกับหัวเราะ และต่างเดินแยกย้ายกันออกไป ส่วนสื่อไม่ลดละพยายามถามต่อ แต่นายเศรษฐากล่าวแต่เพียงว่า “จะพูดเรื่องอื่นต่อ เรื่องนี้จบแล้ว โอเคนะครับ ยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะ”
ดูรูปการณ์แล้ว เห็นทีว่าเรื่องการแจกเงิน “ตกเขียว”ดิจิทัล 1 หมื่นบาทนี้ เชื่อว่าที่สัญญาว่าจะแจกได้ภายในไตรมาส 4 ในช่วงปลายปีนี้นั้น อาจจะต้องร้องเพลงรอไปอีกนาน-ยังมองไม่เห็นอนาคตครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี