“วงจรอุบาทว์กำลังกลับมา” เป็นวลีที่นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯพูดออกมา ก่อนลาออกจากตำแหน่งสองวัน ก่อนหน้าศาลรัฐธรรมนูญประชุมพิจารณาเรื่องที่สมาชิกวุฒิสภา 40 คน ร้องให้ศาลฯพิจารณาว่า นายพิชิตขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ซึ่งนายพิชิตมองว่าความเคลื่อนไหวของ 40 สว. เป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ ที่มุ่งทำลายพรรคเพื่อไทยเหมือนกับที่เคยทำลายพรรคไทยรักไทยเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน
หากวิญญูชนไตร่ตรองด้วยสติปัญญา จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยตลอดเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมาล้วนเกิดจาก อุบาทว์ ปล้นชาติ อาฆาตพยาบาทสถาบันฯ ที่สร้างความวุ่นวายทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ขึ้นมา จากความจริงว่า อุบาทว์เริ่มอุบัติจากคำพูดที่ว่า “บกพร่องโดยสุจริต” และคำพูดวลีนี้เกิดขึ้นวันที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 7 เสียง ให้ผู้ถูกร้องพ้นผิดจากคดีซุกหุ้น และมีข้อครหาตามมา เมื่อทนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ระบุว่าน้องสาวผู้ถูกร้องพยายามติดสินบนตุลาการบางคน เป็นข้อครหา ที่ไม่สามารถเอาผิดผู้ถูกร้องได้แต่ทำให้เกิดความคลางแคลงใจจนทุกวันนี้ และถือได้ว่ามติ 8 ต่อ 7 นั้น ทำให้อุบาทว์ฮึกเหิม ได้ใจสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ สร้างเสียหายแก่ความมั่นคงภายใน และเศรษฐกิจของชาติ จนเกิดวงจรอุบาทว์ขึ้นมา
กรณีที่นายพิชิตติดคุก 6 เดือน นั่นถือเป็นความอุบาทว์ต่อเนื่องที่ตกทอดมาจากความ “บกพร่องโดยสุจริต” เนื่องจากว่า ตัวละครเป็นชุดเดียวกัน ที่ทำให้นายพิชิตเกิด “อุบัติเหตุชีวิต” นายพิชิตพูดก่อนลาออกจากตำแหน่งว่า “ทุกคนมีอุบัติเหตุชีวิต” นายพิชิต นิยามการติดคุก 6 เดือนของเขา เป็นอุบัติเหตุชีวิต เนื่องจากว่าศาลฯสั่งจำคุกเขาในความผิดละเมิดอำนาจศาล เขามิได้ถูกจำคุก เพราะติดสินบนเจ้าพนักงานแต่ประการใด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้สอบสวนว่าเงินสองล้านบาทที่มีคนนำให้เจ้าหน้าที่ศาลเป็นของใคร และอัยการไม่สั่งฟ้องข้อหาติดสินบนจึงพูดได้ว่า “อุบัติเหตุชีวิต” ของสมุนบริวาร กับการ “บกพร่องโดยสุจริต” ของนายใหญ่มีความหมายเดียวกัน และมันอาจเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ได้
หากนิยามการยึดอำนาจ คือวงจรอุบาทว์ ต้องย้อนกลับไปดูว่า“พร่องโดยสุจริต” ทำอะไรกับประเทศไทยในห้วงเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่า เริ่มต้นตั้งแต่มั่งคั่งขึ้นมากว่า 5,000 ล้านบาท จากรู้ข้อมูลภายในก่อนธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวหรือลดค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และใช้เงินที่ได้มาจากลดค่าเงินบาทซื้อนักการเมือง/พรรคการเมืองมาอยู่ในค่าย ซื้อเสียงจนชนะเลือกตั้งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้เป็นรัฐบาล ต่อมาใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาทุจริตทางนโยบายแปลงสัญญาสัมปทานดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต แปลงที่ดินวัดเป็นสนามกอล์ฟ ขายหุ้นไม่เสียภาษี ให้พม่ากู้ธนาคาร Exim BanK 4,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่กู้ไปมาเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม และอุปกรณ์สื่อสารในบริษัทครอบครัวตัวเอง ตลอดถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีพฤติกรรมนอกกฎหมายจนประชาชนประท้วงขับไล่
รัฐบาลไทยรักไทย แก้เกมการเมืองด้วยการยุบสภาหวังฟอกตัวจากการเลือกตั้ง แล้วกลับมาสร้างปัญหาให้ประเทศไทยต่อไป แต่แผนการอุบาทว์ ถูกประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านขัดขวาง ต่อต้าน จนเกิดความวุ่นวาย การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 ไม่สำเร็จหลายหน่วย หลายเขตเลือกตั้งไม่ได้ แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเวลานั้นสรุปเอาตามอำเภอใจว่าเลือกตั้งผ่านไปด้วยดีเย็นวันที่ 2 เมษายน หลังจากปิดหีบเลือกตั้งเขานั่งเฮลิคอปเตอร์ไปหัวหินเพื่อถวายรายงานผลการเลือกตั้ง
ผู้ใหญ่ที่เคารพรักศรัทธา เล่าให้ฟังว่า วันนั้นองคมนตรีท่านหนึ่งตำหนิหัวหน้าพรรคไทยรักไทยว่า ไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้ว่าเข้าสถานที่ไหนต้องมีหมายกำหนดการล่วงหน้าอย่างไร แต่งกายเหมาะสมกับสถานที่หรือไม่ แต่ในที่สุดก็ได้ถวายรายงาน และการถวายรายงานวันนั้น คงไม่ได้ดังใจ ตอนนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับกรุงเทพฯ อุบาทว์จึงผรุสวาทออกมาอย่างเลวร้ายเกินจะรับได้และนั่นอาจเป็น beginning of the end ของอุบาทว์ในประเทศไทย และกลายเป็นจุดก่อตัวของวงจรอุบาทว์
วันที่ 19 เดือนกันยายน 2549 ทหารยึดอำนาจ และหลังจากนั้นคำว่า บกพร่องโดยสุจริตก็ถูกเปลี่ยนเป็นสบถหยาบคาย ว่า “กูไม่เป็นสุข ประเทศไทยอย่าหมายว่าจะอยู่กันเป็นสุข” วลีนี้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า อุบาทว์เป็นตัวบงการของความวุ่นวายในประเทศไทยในทศวรรษแห่งความมืดมน ประเทศชาติเสียหาย เพราะการบุกถล่มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา และตามมาด้วยเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ฆ่าทหาร สังหารประชาชน จนกระทั่งรัฐบาลเพื่อไทยโดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีปี 2554 ความรุนแรงที่สั่งการโดยอุบาทว์หายเงียบหายไป
และความรุนแรงก็เกิดขึ้นมาใหม่เมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาทจากโครงการรับจำนำข้าว และใช้อำนาจเผด็จการสภาผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พี่ชายตอนตีสี่ครึ่ง และแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เดินตามรอยพี่ชาย คือเมื่อประชาชนนับแสนนับล้านประท้วงขับไล่ก็แก้เกมโดยการยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่หวังฟอกตัวจากผลเลือกการตั้งกลับมามีอำนาจต่อไป แต่การเลือกตั้งตามแผนการอุบาทว์ก็ถูกประชาชนขัดขวางจนเกิดความวุ่นวายกลายเป็นกลียุคเหมือนสมัยพี่ชายในปี 2549 จนสุดท้ายทหารต้องกอบกู้สถานการณ์โดยการยึดอำนาจเมื่อเดือนวันที่ 22 พ.ค. 2557
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจ รัฏฐาธิปัตย์บริหารประเทศราบรื่นตลอดเวลาสี่ปี จนกระทั่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ตั้งแต่นั้นมา ประเทศไทยเผชิญกับความรุนแรงความวุ่นวาย เมื่อมีพรรคการเมืองปลุกปั่นล้างสมองสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายมุ่งเป้าหมายทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ มีหลายครั้งที่สมาชิกระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ปรากฏตัวในที่ชุมนุมของคนรุ่นใหม่ตลอดถึงการประกันตัวผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112
และหลังจากเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ที่พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภา แปลกไหมเมื่อสองพรรคนี้ชนะเลือกตั้งการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่เงียบหายไป คงเหลือแต่ความเคลื่อนไหวให้ปล่อยจำเลย/ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 และสุดท้ายเมื่อพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกโดยรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้กลับบ้านหลังจากหนีคุกอยู่ต่างประเทศนานกว่า 17 ปี
และแล้วอุบาทว์ก็มาพร้อมกับทักษิณกลับบ้าน ทันทีที่มาถึงประเทศไทยทักษิณได้รับการต้อนรับแบบ VVIP ที่สนามบิน มีรถหรูนำขบวนไปศาลต่อมาขบวนรถชุดนั้นนำนักโทษ VVIP ไปเรือนจำคลองเปรม และไม่กี่ชั่วหลังจากนั้นมีเฮลิคอปเตอร์รับเขาไปเสวยสุขอยู่ในห้องรอยัลสูทบนชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ ท่ามกลางความกังขาของประชาชนทั่วประเทศว่า นักโทษชายทักษิณมีอภิสิทธิ์อะไรปานนั้น ความอุบาทว์ที่มาพร้อมกับทักษิณสร้างความเสียหายย่อยยับให้ความยุติธรรมของไทย กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจตลอดถึงรัฐบาลถูกสังคมวิจารณ์ สาปแช่ง ด่าว่า เรียกได้ว่า ทักษิณกลับมา สร้างความแตกแยกรอบใหม่ในสังคมไทย
หลังออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะนักโทษระหว่างพักโทษ ทักษิณก็มีพฤติกรรมเหมือนก่อนถูกยึดอำนาจปี 2549 ทุกประการ คือทำตัวราวกับว่าข้าคือผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ข้าเป็นศูนย์กลางอำนาจและอาจเป็นได้ว่า ข้าคือ ศูนย์กลางจักรวาลที่การบริหารประเทศไทย ตลอดถึงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัมพูชาและพม่าข้าต้องเป็นคือ ผู้กำหนด ตลอดถึงการแต่งตั้งการปรับคณะรัฐมนตรีในประเทศไทยล้วนแต่นายใหญ่ผู้กำหนด จึงมีการวิจารณ์กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ใครตั้งนายพิชิต คนนั้นก็สั่งให้เขาออกตำแหน่งได้ และมีการพูดกันในหมู่นักวิเคราะห์วิจารณ์ว่า นายใหญ่สั่งให้นายพิชิตลาออกเพื่อตัดตอนไม่ให้มีผลกระทบไปถึงเศรษฐา นายกรัฐมนตรีที่ถูกร้องให้ศาลพิจารณาว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตและมีมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ที่แต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรีตามบัญชาของนายใหญ่ และนายใหญ่สั่งให้นายพิชิตลาออก เพราะความคิดอุบาทว์ที่ว่า ความผิดที่สำเร็จแล้วก็อาจแก้ไขได้ด้วยแผนการเสียม้ารักษาโคน
ดังนั้นนายพิชิตต้องเลิกพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวว่า “วงจรอุบาทว์กำลังกลับมา” นายพิชิตต้องพูดให้หมดว่าวงจรอุบาทว์ กลับมาเพราะคนอุบาทว์เรียกหา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี