ในขณะที่ประเทศไทยติดกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาขอยกย่องชื่นชมทหาร และข้าราชการทำให้ประเทศไทยได้เปรียบทั้งในสนามรบและสงครามข่าวสาร แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลนำผลงานทหารไปต่อยอดได้ในเวทีโลก
กรณีที่กองทัพประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศนำคณะทูตและผู้ช่วยทหารจาก 23 ประเทศและสื่อมวลชนลงพื้นที่จังหวัดอุบลฯและศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมนั้นคณะทูต และสื่อต่างประเทศได้เห็นธาตุแท้ของกัมพูชาว่าป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรมและกระทำผิดกฎสงคราม ผิดกฎหมายสากลโดยไร้ยางอาย ที่ยิงจรวด ยิงปืนใหญ่ใส่พื้นที่พลเรือน ทำลายโรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อและบ้านเรือนประชาชน ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 15 ศพ บาดเจ็บนับร้อยราย และมีผู้หนีความโหดร้ายของกัมพูชาไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 130,000 คน
ความโหดร้ายป่าเถื่อนของกัมพูชาชาวโลกได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู โดยไม่ต้องชี้แจงเพิ่มเติมอะไรในสหประชาชาติ ขอเพียงท่านทูตเหล่านั้น เป็นพยานให้ประเทศไทยในเวทีโลก แต่ที่น่าเสียดายและน่าสลดใจคือประเทศไทยไม่มีรัฐบาลทำงานเพื่อชาติมาสองปีแล้วประเทศไทยจึงไม่สามารถต่อยอดความสำเร็จของทหาร โดยการฟ้องทหารเขมรและรัฐบาลกัมพูชาเป็นอาชญากรสงครามได้
หากประเทศไทยมีรัฐบาลทำงานเพื่อชาติ ต้องนำผลงานและการพลีชีพพลเรือนและทหาร จัดการกับผู้นำกัมพูชาเป็น อาชญากรสงคราม อย่างน้อยทั่วโลกได้ตราหน้าผู้นำกัมพูชาเป็น อาชญากรสงคราม
หากรัฐบาลฟ้องกัมพูชาเป็นอาชญากรสงครามการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC ในมาเลเซียก็ไม่มีความหมาย แต่ที่ตัวแทนประเทศไทยเป็นไก่รองบ่อนให้กัมพูชา เพราะว่ารัฐบาลไทยไม่มีน้ำยาไม่ฟ้องกัมพูชาในข้อหาอาชญากรสงคราม
คนไทยจึงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรจากการประชุม GBC ในมาเลเซียวันที่ 4 ถึง 7 สิงหาคมนี้ เพราะตัวแทนประเทศไทยไปเล่นเกมที่กัมพูชาสมคบกับสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียกำหนดกติกาไว้ล่วงหน้า ให้ตัวแทนประเทศไทยไปเข้าฉากเป็นตัวประกอบเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลก็เหมือนไม่มีมาสองปีแล้ว
เอาละ มาดูกันว่า เพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกันทั้งที่อยู่ใกล้และไกลออกไป เขาปรับตัวเปลี่ยนทิศทางการค้าอย่างในขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำสงครามการค้า ขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ตามอำเภอใจสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก
ประเทศยักษ์ใหญ่ อาทิ จีน อินเดีย รัสเซีย ในฐานะผู้ก่อตั้ง BRICS (บริกส์) กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เริ่มตอบโต้ ทรัมป์ โดยการส่งเสริมการค้าเสรีและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยการใช้เงินสกุลท้องถิ่นซื้อขายแลกเปลี่ยนกันซึ่งประเทศเอเชียใต้และแอฟริกาได้เริ่มมาตรการของบริกส์ตอบโต้ทรัมป์บ้างแล้ว และบางชาติในอาเซียนก็เริ่มปรับตัวเช่นกัน
วันที่ 31 กรกฎาคม ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียประธานหมุนเวียน Brics ได้เปิดพระราชวังเครมลิน ให้การต้อนรับ นายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป.ลาวในโอกาสเดินทางไปเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม -1 สิงหาคม 2568
การเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของประธานประเทศลาวรอบนี้ ทั้ง 2 ประเทศได้มีการลงนามในเอกสารข้อตกลงความร่วมมือรวม 7 ฉบับ ซึ่ง 1 ในนั้น เป็นความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่าง Rosatom บริษัทด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของลาว
ปธน.ปูติน กล่าวขอบคุณผู้นำ สปป.ลาว สำหรับของขวัญที่มอบให้กับรัสเซียเป็นช้างจำนวน 2 เชือก
ในเวลาเดียวกัน และสำนักข่าวทางการรัสเซียรายงานว่าประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน จะหารือกับกษัตริย์สุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ในวันที่ 6 สิงหาคม ณ กรุงมอสโก และ เวียดนามกับอินโดนีเซียมีกำหนดเดินทางไปเยือนมอสโกเร็วๆ นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้า
ข่าวจากรัสเซียบ่งชี้ว่า อาเซียนได้เลือกข้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซีย ที่ปธน.ทรัมป์ขู่เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมว่า หากอินโดนีเซีย ยังคงเป็นหุ้นส่วนบริกส์ และปฏิบัติตามนโยบายลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ปธน.ทรัมป์ จะขึ้นภาษีนำเข้าจากอินโดนีเซียจาก 32% เป็น 42%
วันที่ 15 กรกฎาคม นายปราเซตโย ฮาดี รัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย แถลงว่า รัฐบาลจาการ์ตาจะไม่มีทางออกจากการเป็นสมาชิกบริกส์ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
ปรากฏว่า วันที่ 31 กรกฎาคม ปธน.ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีอินโดนีเซีย 19% เท่ากับมาเลเซีย กัมพูชาและประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยหยุดยิงกับกัมพูชาหรือไม่ ประเทศไทยก็ถูกภาษีเท่ากับอินโดนีเซีย ที่ ปธน.ทรัมป์ ขู่จะขึ้นภาษีเป็น 42%
ส่วน สปป.ลาวกับพม่าไม่มีปริมาณการค้ากับสหรัฐมากนักสปป.ลาวจึงไปหารัสเซียที่คบค้ากันมานานและลงนามทำสัญญาการค้ากับรัสเซียสบายใจกว่า
สหภาพเมียนมาที่ถูกกีดกันจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่พลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีของออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลทหารพม่ามีความสัมพันธ์ทางการค้าความมั่นคงกับจีน รัสเซีย อินเดีย มาเป็นเวลายาวนาน พม่าจึงไม่แคร์ว่า สหรัฐขึ้นภาษีการค้าต่อพม่าเท่าไหร่ ทรัมป์เสียอีกกลับตีไพ่โง่ให้พม่า โดยการส่งจดหมายไปถึงพลเอกมิน อ่อง หล่าย เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากพม่า 42% ทั้งๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์การค้ามาสี่ปีแล้ว
เมื่อได้รับจดหมาย พลเอกมิน อ่อง หล่าย ถือว่า ปธน.ทรัมป์ รับรองรัฐบาลทหารพม่า เขาจึงชื่นชมยกย่องทรัมป์ว่า “เป็นผู้นำแข็งแกร่ง นำพาประเทศชาติสู่ความรุ่งโรจน์ด้วยอุดมการณ์จิตวิญญาณรักชาติอย่างแท้จริง” กินลูกยอจากพม่าเข้าไป ทรัมป์ คงฝันถึงรางวัลโนเบล ถึงได้แจ้งกับมิน อ่อง หล่ายว่า สหรัฐได้ยกเลิกแซงก์ชั่นต่อคนในเครือข่ายรัฐบาลทหารพม่าแล้ว
เมื่อ ปธน.ทรัมป์ รับรองรัฐบาลทหารพม่ากลายๆ และยกเลิกคว่ำบาตรคนในเครือข่ายรัฐบาลทหาร พลเอกมินอ่อง หล่าย ก็เปิดเกมรุกทางการเมืองโดยการประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินที่รัฐบาลทหารพม่าใช้ปกครองประเทศมา 4 ปี ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารพม่าแถลงวันที่ 1 ส.ค.ว่า “ภาวะฉุกเฉินยกเลิกโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะเปิดทางให้จัดการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยหลายพรรค” เขาแถลงต่อผู้สื่อข่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ชั่วหลังจากนั้น ทีวีทางการพม่ารายงานว่ากฎอัยการศึกและภาวะฉุกเฉินอาจประกาศใช้บางส่วนในเก้าพื้นที่ของ 14 ภูมิภาคและรัฐของพม่า เนื่องจากความกังวลถึงความรุนแรงด้วยอาวุธและการก่อขบถ ซอ มิน ตุน กล่าวด้วยว่า “การเลือกตั้งจะมีขึ้นภายใน 6 เดือน คือจะมีเลือกตั้งในเดือนธันวาคม และเดือนมกราคม”
พลเอกมิน อ่อง หล่าย เปลี่ยนสถานะจากผู้นำรัฐบาลทหารเป็นหัวหน้าคณะกรรมการเตรียมการเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจลงนามรับรองพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัคร “เราผ่านขั้นตอนที่หนึ่งมาแล้ว บัดนี้เรากำลังเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง” หนังสือพิมพ์ นิวไล์ออฟเมียนมา รายงานคำพูดพลเอก มิน อ่อง หล่าย และ รายงานด้วยว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย เป็นหัวหน้าคณะ 11 คน
กำกับดูแลการเลือกตั้ง
ในวันเดียวกัน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า “พรรคการเมืองและหลายกลุ่มหลายฝ่ายในพม่าแก้ปัญหาความแตกต่างกันผ่านกระบวนการเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญและกรอบกฎหมายอย่างเหมาะสม” พรรคการเมืองต่างพากันลงทะเบียนสมัครรับเลือกตั้ง และฝึกการใช้เครื่องมือทันสมัยที่จีนมอบได้เริ่มขึ้นแล้ว
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในพม่าถูกสหรัฐและตะวันตกประณามว่า เป็นการเลือกอย่างน่าละอายในเวลาเดียวกันที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนออกแถลงการณ์ว่า “การเลือกตั้งในพม่าไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นๆ”
จึงพูดได้ว่าสมาชิกอาเซียนมีความเห็นแตกต่างกันทั้งด้านความมั่นคง การเมือง และเศรษฐกิจการค้า ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกกลุ่มใดเอนเอียงไปทางมหาอำนาจฝ่ายไหน สมาชิกอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย สปป.ลาว พม่า และเวียดนามกำลังหาตลาดใหม่ในกลุ่มบริกส์
ส่วนกัมพูชาหาจุดยืนไม่ได้ ทั้งๆ ที่จีนลงทุนมากที่สุดในกัมพูชาถึง 49% ของการลงทุนทั้งหมดในประเทศ โครงการสร้างพื้นฐานถนน รถไฟ ท่าเรือ แม้แต่สนามกีฬาก็จีนสร้างให้ พูดได้ว่าจีนถอดท่อออกซิเจนวันไหนกัมพูชาหมดลมหายใจวันนั้นแต่เหตุการณ์เฉพาะหน้า เมื่อกัมพูชาเพลี่ยงพล้ำต่อกองทัพไทย กัมพูชาจำเป็นต้องเกาะขาสหรัฐเพื่อหยุดยั้งการล่มสลายที่ถูกทำลายโดยกองทัพไทย
ส่วนประเทศไทยที่มีรัฐบาลหัวขาดไม่รู้จะนำพาประเทศไปทิศทางไหน คนไทยจึงได้แต่ภาวนาให้กระบวนการยุติธรรมแสดงความศักดิ์สิทธิ์โดยไว เพื่อที่ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่นำพาประเทศไทยพ้นวิกฤตรอบด้านไปได้ ด้วยความเชื่อว่าไม่มีรัฐบาลไหนเลวร้ายไปกว่านี้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี