ขณะนี้เรื่องการยุบพรรคก้าวไกลกำลังเป็นกระแสใหญ่ในวงการเมืองของประเทศไทย ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ไปลงคะแนนเสียงให้กับพรรคก้าวไกลกว่า 14 ล้านคนและเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
และศาลรัฐธรรมนูญเมื่อได้รับคำให้การแก้ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกลรวม 9 ข้อแล้ว ก็ได้พิจารณามีคำสั่งให้ กกต. ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ และจะประชุมปรึกษาคดีอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 18 มิถุนายนนี้
มูลเหตุของเรื่องการยุบพรรคคือการที่ กกต. ยื่นข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า สส. พรรคก้าวไกลได้ร่วมกันขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลในการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงขอให้ยุบพรรคก้าวไกลเสีย
เหตุผลในการวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครองดังกล่าวนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งความเห็นทั่วไปเป็นไปในทางเดียวกันว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจทางนิติบัญญัติตามที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและด้วยวิธีการตามข้อบังคับของสภา ไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพ เพราะบุคคลทุกคนไม่สามารถปฏิบัติการดังกล่าวได้ นอกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเท่านั้น
แม้เมื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอกฎหมายส่งเดชตามอำเภอใจ แต่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยการเสนอญัตติที่เป็นร่างพระราชบัญญัติ หลังจากนั้นสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็จะตรวจสอบร่างพระราชบัญญัตินั้นว่าถูกต้อง ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เมื่อเห็นว่าถูกต้องแล้วก็จะบรรจุวาระการประชุมและนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นวาระที่หนึ่ง
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบหลักการในวาระที่หนึ่ง ก็จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณารายละเอียดของร่างกฎหมายนี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกและผู้มีส่วนได้เสียเสนอแปรญัตติได้ตามข้อบังคับของสภา เสร็จแล้วจึงบรรจุวาระประชุมเป็นวาระที่สองและที่สาม ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรมีเอกสิทธิ์ที่จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติอันมีมาตั้งแต่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็ตกไป แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบก็ต้องส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปให้วุฒิสภาพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน ถ้าวุฒิสภาไม่เห็นชอบก็ต้องย้อนเรื่องมาให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง และถ้าวุฒิสภาเห็นชอบก็จะมีการนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย และในขั้นตอนนี้องคมนตรีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จพระมหากษัตริย์ก็อาจทักท้วงหรือไม่เห็นชอบก็ได้ ถ้าหากไม่เห็นชอบก็จะเป็นเหตุให้ไม่พระราชทานคืนมา หรือพระราชทานคืนมาโดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ได้ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องพิจารณาทบทวนต่อไป
นับตั้งแต่เวลาที่วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ถ้ามีผู้ใดเห็นว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็สามารถร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ว่าเป็นร่างกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในขั้นตอนนี้แหละจึงเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าขัดต่อรัฐธรรมนูญร่างกฎหมายนั้นก็จะตกไป
จะเห็นถึงการคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการ คือโดยกระบวนการเป็นอำนาจทางนิติบัญญัติ และเมื่อกระบวนการเสร็จแล้ว เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในกระบวนการปฏิบัติงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะถ้าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่มีการคานอำนาจกันระหว่างสามอำนาจ
เปรียบเทียบกับการพิจารณาอรรถคดีของศาลยุติธรรม ที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีไปตามกฎหมาย ในขั้นตอนเหล่านี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงอำนาจตุลาการของศาลยุติธรรม
แต่เพราะอำนาจตุลาการนั้นเป็นอำนาจพิเศษ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงบัญญัติป้องกันปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่า กรณีใดที่มีการยกข้ออ้างข้อเถียงว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้ศาลยุติธรรมส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาความขัดแย้งกันในการใช้อำนาจตุลาการของศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญ
พรรคก้าวไกลได้หาเสียงเลือกตั้งที่จะแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 และได้เสนอร่างกฎหมายต่อสภา และร่างกฎหมายนี้ก็ไม่เคยถูกวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตราเดียวนั้นไม่มีทางที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ และไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพด้วย ดังนั้น คำวินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครอง จึงขัดต่อความรู้สึกของผู้คนทั้งหลาย
และเรื่องเดียวกันนี้ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วก็ถูก กกต. ร้องซ้ำเข้าไปอีกเพื่อขอให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดวิธีพิจารณาความในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในเรื่องนี้มีบทบัญญัติให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ คือฟ้องซ้ำไม่ได้
ข้อสำคัญคือ ข้อต่อสู้ที่ว่าการแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้เป็นจุดสนใจของประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกด้วย
จุดสำคัญที่สุดคือ การจะยุบพรรคการเมืองนั้นหลักกฎหมายทั้งหลายในโลกนี้ถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงมาก และปกติสามัญการลงโทษใดๆ ต้องลงแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดๆ เลยว่าตัวพรรคก้าวไกลได้กระทำความผิด ดังนั้นถึงแม้ว่า สส. ที่เข้าชื่อกันเสนอกฎหมายกระทำความผิดก็เป็นความผิดส่วนตัวของ สส. แต่ละคน ไม่ใช่ความผิดของพรรค จะไปลงโทษพรรค ยุบพรรคไม่ได้ เพราะพรรคประกอบขึ้นด้วยสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ก็จะพลอยถูกลงโทษไปด้วย
อุปมาเหมือนพระสงฆ์รูปหนึ่งกระทำผิดฐานปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ การลงโทษทางวินัยก็ต้องลงโทษกับพระสงฆ์รูปนั้น จะไปลงโทษวัด ยุบวัด ไม่ได้ฉันใด หรือเช่นเดียวกับกรณีตำรวจกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงก็เป็นความผิดเฉพาะตัวของตำรวจผู้นั้น จะไปยุบสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ หรือแม้รัฐมนตรีคนหนึ่งทำความผิดก็เป็นความผิดที่ต้องลงโทษได้เฉพาะตัว จะไปลงโทษคณะรัฐมนตรีทั้งคณะที่ไม่ได้กระทำความผิดไม่ได้ฉันใด ก็ยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้ฉันนั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี