วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            คอร์รัปชันเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและกระจายตัวอยู่อย่างกว้างขวาง และเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทยที่ก่อให้เกิดปัญหาเชิงระบบที่กระจายไปในส่วนต่างๆ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การมองหาวิธีในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่รัฐไทยได้ให้ความสำคัญ และถูกจัดให้อยู่ในสถานะเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใต้แผนงาน นโยบาย มาตรการ และแนวปฏิบัติของภาคส่วนต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งในระดับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมต่างก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “คอร์รัปชัน” เท่ากับ “ปัญหา” ผ่านการศึกษาและเกิดเป็นข้อสนับสนุนทั้งในทางวิชาการและทางปฏิบัติ แต่ในการศึกษาเชิงวิพากษ์ของการคอร์รัปชันและการต่อต้านคอร์รัปชัน พบว่าหล่มใหญ่สำคัญที่เป็นเสมือนหลุมพรางที่ทำให้การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น คือ การมองปัญหาคอร์รัปชันผ่านแนวคิดระบบคู่ตรงข้าม ที่จะนำไปสู่การสร้างมโนทัศน์ที่ทำให้การมองเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันขาดความลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนจะชวนทุกท่านมาร่วมกันรื้อขนบของการมองปัญหาคอร์รัปชันด้วยมุมมองใหม่ ในบทความ “ยักษา” กับ “เทวา” : เมื่อคอร์รัปชันไม่มีตรงกลางระหว่างคำว่า “ดี” และ “ไม่ดี”
แล้วอะไรคือแนวคิดแบบระบบคู่ตรงข้าม
การอธิบายโลกแบบคู่ตรงข้าม เป็นแนวคิดในทางสังคมศาสตร์ที่อธิบายผ่านสกุลนักคิดแบบโครงสร้างนิยม (Structuralism) ซึ่งให้ความสนใจกับการค้นหาโครงสร้างบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในวิธีคิดและการดำเนินชีวิตของผู้คน ซึ่งสุดท้ายแล้วจะสะท้อนให้เห็นถึง “ระบบ” ที่มีอยู่ในสังคมที่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งโครงสร้างประการหนึ่งที่มีอยู่ในสังคมและได้ถูกประกอบสร้างขึ้น คือ การมองแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) ที่ได้อธิบายถึงการแบ่งทุกอย่างออกเป็นสองขั้ว เช่น ความดี/ความชั่ว, ความรวย/ความจน หรือผู้ชาย/ผู้หญิง เป็นต้น ซึ่งหลักสำคัญของการอธิบายสังคมด้วยแนวคิดแบบคู่ตรงข้ามนี้ คือ การพยายามจัดระบบระเบียบของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสังคมให้มีตำแหน่งแห่งที่ที่ชัดเจน รวมถึงกำหนดการรับรู้ทางสังคมแบบร่วมหมู่ของผู้คนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในการอธิบายสังคมด้วยแนวคิดแบบคู่ตรงข้ามนี้ คือ การที่แนวคิดดังกล่าวได้พยายามสร้าง “ความเป็นอื่น” ขึ้นมาในสังคมด้วยการมองโลกแบ่งเขา/แบ่งเรา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปิดกั้นและกดทับความเป็นคู่ตรงข้ามระหว่างกัน จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างสองคู่ตรงข้ามที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ของความขัดแย้งและแบ่งฝั่งกันอย่างชัดเจน รวมไปถึงการทำให้สิ่งที่ “ไม่ใช่ทั้งเขาและไม่ใช่ทั้งเรา” ถูกละเลยไปจากการอธิบายทางสังคม และตกอยู่ในสภาวะระหว่างกลางแห่งความไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้เป็นหลักเกณฑ์ของสังคม จนนำไปสู่ความแปลกแยก (Alienation) และกลายเป็นความผิดปกติทางสังคมที่ถูกตีกรอบไว้ด้วยความคับแคบและนิ่งค้าง ภายใต้มุมมองของการมองโลกแบ่งเป็นสองขั้วตรงข้าม
ปรากฏการณ์คู่ตรงข้ามในมิติของการทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน
สำหรับการอธิบายการคอร์รัปชันด้วยแนวคิดว่าด้วยเรื่องของคู่ตรงข้ามในที่นี้ ผู้เขียนไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การวิพากษ์ว่าการคอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องที่ “ดี” และ “ไม่ดี” สำหรับสังคม เพราะจากการศึกษาตลอดระยะเวลาหลายช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในทางวิชาการเป็นจำนวนมากที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าการคอร์รัปชันเป็น “ปัญหา” ของการพัฒนาและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในสังคม แต่สิ่งที่แนวคิดคู่ตรงข้ามได้ทำให้เกิดความไม่ครอบคลุมของการอธิบายปัญหาคอร์รัปชันในเชิงสังคม คือ การสร้างคู่ตรงข้ามของ “คนดี” และ “คนชั่ว” ให้เกิดขึ้นในการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวคือ หากเปรียบเทียบโดยง่ายว่า คนชั่วที่คอร์รัปชันเป็นยักษ์และคนดีที่ต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเทวดา การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนทัศน์และมโนทัศน์เช่นนี้ จะกลายเป็นการมุ่งเน้นเรื่องการกำจัดคอร์รัปชันที่เป็นภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของคนดี ที่จะต้องป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันให้หมดไปในสังคมให้หมดไปโดยสิ้นเชิง
ในการอธิบายภาพของการต่อต้านคอร์รัปชันด้วยกรอบแนวคิดของการที่คนดีต้องมีหน้าที่ปราบคนชั่วเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการในการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในสังคม ประการแรก คือ การแบ่งแยกคนในสังคมที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชันว่าเป็น “คนดี” และคนที่คอร์รัปชันว่าเป็น “คนชั่ว” ที่ต้องเลือกที่จะเป็นเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และทำให้คนทั่วไปที่นิยามตนเองว่า “ไม่ดีและไม่ชั่ว” ถูกละเลยไปจากกรอบการอธิบายแบบคู่ตรงข้าม ซึ่งในความเป็นจริงของสังคมแล้วคนที่ไม่เคยคอร์รัปชัน แต่ก็ไม่ได้ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในสังคมนับว่ายังมีอยู่เป็นส่วนมาก และการพยายามผลักให้คนที่อยู่ในพื้นที่ตรงกลางของความพร่าเลือนนี้ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจกลายเป็นดาบสองคมของการผลักให้คนตรงกลางเลือกที่จะเป็นคนชั่ว มากกว่าจะเป็นคนดีในการอธิบายโลกแบบคู่ตรงข้ามของการต่อต้านคอร์รัปชัน
ประการต่อมา คือ การเป็นคนดีที่อยู่ในโลกคู่ตรงข้ามของการต่อต้านคอร์รัปชันนี้ จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับตำแหน่งแห่งที่และภาระที่ต้องรับผิดชอบเพื่อปราบปรามการคอร์รัปชันให้หมดไป ซึ่งถ้าคนที่ถูกนิยามว่าเป็น “คนดี” เหล่านี้มีอยู่ในจำนวนที่ไม่มาก ภาระของการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่มีความซับซ้อนและเป็นปัญหาของคนทั้งสังคมด้วยคนดีเพียงกลุ่มเดียว จะทำให้เกิดการแบกรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง และเกินขีดความสามารถของคนที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน และนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวของการทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน
ประการสุดท้าย คือ การอธิบายการต่อต้านคอร์รัปชันด้วยแนวคิด “คนดี” และ “คนชั่ว” นี้ อาจทำให้เกิดภาพซ้อนทับกับขนบเชิงมายาคติทางสังคมที่เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ซึ่งแนวความคิดนี้อาจนำไปสู่การทำให้คนที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน เกิดอัตตาว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตายตัว คือ ทำให้การคอร์รัปชันนั้นหมดไปจากสังคม แต่ในอีกแง่หนึ่งก็จะทำให้เกิดการขาดการพิจารณาและทวนสอบกระบวนทัศน์และแนวปฏิบัติที่มีอยู่ว่าทำแล้วได้ผลจริงหรือไม่ และทำให้การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันถูกตีกรอบด้วยภาพของความดี มากกว่าความมีประสิทธิภาพในการลดปัญหาคอร์รัปชันให้กับสังคม
ต้องข้าม “ดี” และ “ชั่ว” ให้พ้น เพื่อค้นหาวิธีการต่อต้านคอร์รัปชันให้เจอ
จากการใช้มุมมองเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับแนวคิดคู่ตรงข้าม ในการอธิบายถึงปัญหาคอร์รัปชันและการต่อต้านคอร์รัปชันในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง ผู้เขียนได้พยายามที่จะชวนให้ผู้อ่านทุกคนได้ฉุกคิดและทบทวนถึงมายาคติที่อยู่ในคำอธิบายของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อให้เห็นถึงอิทธิพลของวิธีคิดที่มีต่อการมองโลกของผู้คนที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งการทำความเข้าใจถึงปัญหาคอร์รัปชันและการต่อต้านคอร์รัปชันด้วยแนวคิดที่หลากหลาย และตระหนักถึงข้อจำกัดของแนวคิดต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยทำให้เราสามารถเข้าใจปัญหาของการคอร์รัปชันและการต่อต้านคอร์รัปชันในฐานะของปรากฏการณ์ที่มีพลวัตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่จะนำไปสู่การทำให้ผู้อ่านสามารถค้นหาวิธีการหรือแนวทางการอธิบายใหม่ๆ ที่จะช่วยให้การทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสังคม
เจษฎา จงสิริจตุพร

										ร้อง กกต.สอบพรรคส้มแล้ว ปมหาสมาชิกคล้ายเครือข่ายฟอกเงิน
									
										หอคอยโบราณ'ตอร์เร เดย์ คอนตี'ในกรุงโรมพังถล่ม คนงานชาวโรมาเนียดับ1ราย
									
										เชื่อก่อนคิด ตะโกนก่อนฟัง! ‘ดร.จักษ์’จวกยับพฤติกรรม นศ.ตะโกนใส่หน้า‘ผู้บรรยาย
									
										'นิพิฏฐ์' ย้ำนายกฯ 'อัปปสาทะ' ดึง 'อัตตานัง อุปมัง กัตวา' เตือน'บวรศักดิ์'
									
										ชาวเน็ตแห่แชร์! 'ถนนแจ้งวัฒนะ'อ่วมน้ำท่วมสูงรถเล็กจอดเสียเพียบ เช้านี้สาหัสต่อน้ำยังไม่ลด
									
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี