ครั้งหนึ่ง, “เฉลิม อยู่บำรุง”เมื่อคราวที่ยังหวานชื่นกับ“ทักษิณ ชินวัตร”..เคยพูดฟอกขาวให้ทักษิณระหว่างหลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศว่า.. “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย..แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”
หากวันนี้“เฉลิม อยู่บำรุง”ยังรักกันดีอยู่กับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..ก็คงจะใช้สีข้างเข้าถูเช่นเดิม..จากการที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาแถลงเรื่องทักษิณเป็น“นักโทษเทวดา”มีอภิสิทธิ์เหนือนักโทษและผู้ต้องขังคนอื่นๆ...ว่า “ทักษิณไม่ได้ทำผิด..แต่คนทำผิดคือข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และแพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ”
อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว..ข้าราชการประเทศนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบ..จากการที่ยอมทอดตัวเสมือนทาสรองเท้าให้แก่“ทักษิณ ชินวัตร”..ด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนเฉพาะหน้าจะในรูปใดก็แล้วแต่..ล้วนต้องประสบกับ“วิบากกรรม”ในวันหน้าทั้งสิ้น
และแล้วก็เป็นจริงในชาตินี้ด้วยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า..เมื่อ กสม.ได้แถลงผลการสอบสวนกรณีที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร-“นักโทษเทวดา”ไปนอนพักรักษาตัวแบบ“ติดคุกทิพย์”ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ..เป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือนจนครบวันพักโทษเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567..ว่า
“การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ..เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขัง..ด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล..ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม..ถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำ..อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา.. กสม.โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ในฐานะกรรมการ-กสม. ได้ออกมาแถลงผลการสอบสวนเรื่องร้องเรียนตามที่ได้มีผู้ร้องเรียนไว้เมื่อเดือนพฤศิกายน 2566..ให้มีการตรวจสอบเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 2)
โดยผู้ร้องเรียนร้องว่า..เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอนุญาตให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และได้รับการรักษาที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น..อาจเป็นการเลือกปฏิบัติ..จึงขอให้ กสม.ตรวจสอบ
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กสม.ที่ใช้เวลาถึง 9 เดือนนับตั้งแต่ได้รับเรื่องร้อนเรียน..จึงได้ข้อสรุป..ว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร..โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง..เข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล..อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่..หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
นอกจากนั้น กสม.โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ยังชี้ว่า..“การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ..กำหนดให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง..โดยเรือนจำฯ ไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งนายทักษิณออกจากโรงพยาบาล..เป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563..ทำให้นายทักษิณได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาค..และเป็นการเลือกปฏิบัติ..อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
อีกประเด็นหนึ่ง ที่ กสม.ระบุจากการแถลงของนายวสันต์ ภัยหลีกลี้..ซึ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนถึงการเอื้อประโยชน์ให้แก่“นักโทษเทวดา”ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” อย่างเป็นกระบวนการ ว่า..
“หากนายทักษิณมีอาการป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติสลับปกติจริงตามอ้าง..ก็ควรได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด..และพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน..ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า..เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณสามารถออกจากการควบคุมของเรือนจำฯ..ตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของกรมราชทัณฑ์..นายทักษิณสามารถเดินทางกลับบ้านพักส่วนตัวได้ในทันที..ไม่พบว่าต้องเข้าไปรับการรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก”
ประการที่สำคัญ กสม.ระบุว่า..“นายทักษิณสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ..และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรง..อันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤติจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง..ซึ่งใช้เป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด..ด้วยเหตุนี้ จึงยังมิอาจเชื่อได้ว่า..นายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงขนาดที่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึง 181 วัน..โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์..หรือกลับไปคุมขังต่อที่เรือนจำฯ ได้”
ผลสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยแห่งชาติ ทั้งหมดนั้น..จึงเท่ากับเป็นสารตั้งต้นให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิดทางคดีอาญากับข้าราชการที่เกี่ยวข้อได้โดยง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น..ทั้งข้าราชการในกรมราชทัณฑ์..ตลอดจนแพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ
อย่างไรก็ดี ที่พอจะระบุตัวบุคลจากที่มีผู้ร้องเรียนหลายคณะ..ได้ยื่นคำร้องตั้งแต่ปีที่แล้วให้ ป.ป.ช.สอบสวนข้าราชการในสองหน่วยงานดังกล่าว..ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ..ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ..นั่นก็คือ
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์, พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ รักษาราชการแทนนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และพล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ..ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
คนโบร่ำโบราณสมัยปู่ย่าตายายเขาถึงสอนลูกสอนหลานสืบต่อกันมาว่า..“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”ในเรื่องบาปบุญคุณโทษจากการทำความชั่ว..และต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่า..ข้าราชการคนใดที่ยอมทอดตัวเป็นทาสรับใช้“ทักษิณ ชินวัตร”ประพฤติมิชอบนั้น-คุกสถานเดียวทุกราย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี