วันที่ 31 ธันวาคมวันนี้เป็นวันสิ้นปี 2567 ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมารวมทั้งหมด 366 วันนั้น ถือว่าเป็นปีทองของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และคนของตระกูลชินวัตร
“ทักษิณ ชินวัตร” หลบหนีออกจากประเทศโดยหลอกศาลว่าจะไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2551 แล้วก็หนียาวไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลา 15 ปี 1 เดือน และเมื่อกลับมาในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นอกจากจะได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปีแล้ว ก็ยังไม่ยอมติดคุกอยู่ในเรือนจำ
โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายและกฎระเบียบของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ ออกไปนอนพักรักษาอาการป่วยที่อ้างว่าวิกฤตใกล้ตายอยู่บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งได้รับการเอื้อประโยชน์จากข้าราชการประจำ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนกระทั่งได้รับการพักโทษกลับไปอยู่เรือนจำเทียมที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า”เมื่อครบ 180 วันในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญประหารชีวิตทางการเมือง“เศรษฐา ทวีสิน” ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย..กรณีแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี..ถือว่าเป็นเรื่อง“ล็อกถล่ม” ซึ่งมาเร็วเกินคาด แต่อาจจะไม่เกินคาดของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในฐานะผู้กำหนดเกมบนกระดานอำนาจ และผู้ชักใยเศรษฐาบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
เรื่องของ“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”อาจจะดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุทางการเมืองของนายเศรษฐา ทวีสิน แต่ในอีกทางหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า มันคือ“กับดัก”ที่ถูกขุดหลุมวางไว้แล้ว ดังสำนวนไทยที่ว่า“เสร็จนาฆ่าโคถึก-เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
แน่นอนว่าบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือ“ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งอย่างน้อยเวลา 180 วันจากการ“ป่วยทิพย์”บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ..ทั้งกฎหมายและกฎระเบียบที่มีอยู่ รวมทั้งข้าราชการประจำล้วนพิกลพิการไปหมดสิ้น ถึงขนาดว่า แม้แต่กล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลตำรวจยังเสียหมดทุกตัวไม่สามารถใช้การได้
การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ต่อจากนายเศรษฐา ทวีสิน ของ“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวคนเล็กผู้เป็นหัวแก้วหัวแหวนของ“ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้สืบสันดานและเป็นร่างทรงให้แก่บิดา จึงมิใช่เรื่องแปลกและเรื่องบังเอิญ
เพราะเมื่อภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน เสร็จสิ้นแล้ว โดยที่ผู้เป็น“นายใหญ่”ไม่ต้องติดคุก..และทุกอย่างเคลียร์ จึงเป็นเวลาของ“แพทองธาร”ที่จะขึ้นมารับไม้ต่อ..เคลียร์แม้กระทั่งการ“สกรีน”ตัวบุคคลเพื่อเข้ารับตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาลของเธอ
วันนี้ 31 ธันวาคมถือได้ว่าเป็นปีทองวันสุดท้ายของ“ทักษิณ ชินวัตร” และ“ตระกูลชินวัตร” ซึ่งสำหรับทักษิณนั้น พ้นโทษจากคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือโดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว และกลับมามีอำนาจ“กร่าง”คับฟ้าเมืองไทยอีกครั้ง หลังหมดอำนาจไปเกือบ 20 ปี
ขณะที่“ตระกูลชินวัตร” ก็ได้ทายาทรุ่นที่สามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้..จากทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนผ่านมาถึง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ“แพทองธาร ชินวัตร”..โดยที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลายเป็นตำแหน่งที่เป็นง่ายยิ่งกว่าสมัครเข้าเป็น“ภารโรง”ในหน่วยงานของรัฐ..เพียงเพราะมีคุณสมบัติแค่“นามสกุลชินวัตร”เท่านั้นเอง
ส่วนปีหน้า อาจจะไม่ใช่ปีทองของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และ“ตระกูลชินวัตร” แต่จะเป็นปีที่ทักษิณและคนในตระกูลคือบุตรสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องประสบกับวิบากกรรม อันเป็นชะตากรรมที่ทักษิณในฐานะผู้นำของตระกูลเป็นผู้ก่อไว้จากการกระทำ
เรื่อง“ป่วยทิพย์-ชั้น 14” คือเรื่องแรกที่โรงพยาบาลตำรวจจะต้องส่งหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับอาการป่วยวิกฤตปางตายของ“ทักษิณ ชินวัตร”รวมทั้งหมด 8 ข้อ โดยต้องชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงทุกประเด็น ให้แก่คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ของ“แพทยสภา” ภายในวันที่ 15 มกราคม 2568
สังคมโดยทั่วไปต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า “ทักษิณ ชินวัตร”ป่วยทิพย์..ดังนั้นจึงเป็นปัญหาว่า โรงพยาบาลตำรวจจะ“โกหก”อย่างไรให้จับผิดไม่ได้ เป็นการจับผิดที่ไม่ใช่“โปลิศจับขโมย”..หากแต่เป็น“แพทย์จับแพทย์”เกี่ยวกับ“จริยธรรมแพทย์”ในวิชาชีพเดียวกัน
ถัดมาคือเรื่อง“MOU 44” ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยบกับการขายชาติขายแผ่นดิน..มีแนวโน้มว่าสถานการณ์อาจจะพัฒนาไปสู่การ“ลงถนน”ของประชาชน..ตราบใดที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังยืนกรานที่จะเดินหน้าต่อไป..โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของประชาชน
และเรื่องสุดท้ายการพา“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นักโทษหนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่มีโทษติดตัว 5 ปี กลับเข้ามาประเทศไทยโดยไม่ติดคุก..เป็นการซ้ำรอย“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นพี่ชาย..และเวลานี้กรมราชทัณฑ์ก็กำลังทำเรื่อง“ลับๆ ล่อๆ”เกี่ยวกับหลักเกณฑ์คุมขังนอกเรือนจำ ที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ยิ่งลักษณ์
จับตาปีมะเส็งงูเล็ก ว่าจะมีพิษสงเหมือนปีมะโรงที่เพิ่งสิ้นสุดลงพร้อมกับชีวิตของมนุษย์ที่ถูกสังเวยไป 179 ศพ จากอุบัติเหตุเครื่องบินลื่นไถลออกนอกรันเวย์ที่เกาหลีใต้ และ 3 ศพในบ้านเราจากเหตุไฟไหม้โรงแรม ถนนตานี ย่านถนนข้าวสาร รวมทั้งอาคารถล่มในนิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดปราจีนบุรี มีผู้เสียชีวิต 5 ศพ และการเสียชีวิตในวัย 100 ปีของ“จิมมี คาร์เตอร์” อดีตประธานาธิบดีคนที่ 39 ของสหรัฐอเมริกา-เป็นการส่งท้ายปีเก่า
ปี 2568 “ทักษิณ ชินวัตร” และตระกูลชินวัตร จะหนี“กับดักแห่งกรรม”พ้นหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี