สหรัฐ และจีนต่างแสดงความชื่นชมต่อการเจรจาการค้านัดแรกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างระบุว่าการเจรจามีความคืบหน้าและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ บรรลุข้อตกลงลดภาษีนำเข้าชั่วคราว 90 วัน เหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้ากับสหรัฐ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังการเจรจา 2 วัน ที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ ว่า การเจรจาเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เจาะลึก และมีความสร้างสรรค์ การพบปะกันครั้งนี้มีความคืบหน้าอย่างมากและมีบรรลุฉันทามติที่สำคัญด้วย ทั้งจีนและสหรัฐ ได้ดำเนินการเจรจาโดยยึดหลักความเคารพซึ่งกันและกันและความเท่าเทียม ยึดถือผลประโยชน์ร่วมกัน เจรจากันด้วยความเป็นมืออาชีพและมีประสิทธิภาพ
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเจรจาฝ่ายสหรัฐ บอกเช่นกันว่า การเจรจาครั้งนี้มีความคืบหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการคลี่คลายความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ นอกจากนี้ ยังบรรลุข้อตกลงกับจีนในการลดการขาดดุลการค้า รายละเอียดอื่นๆ จะมีการเปิดเผยในวันจันทร์นี้ ตามเวลาท้องถิ่น ส่วน เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ซึ่งเข้าร่วมการประชุมด้วยก็บอกเช่นกันว่า ความเห็นต่างระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้มากอย่างที่เคยคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และกล่าวว่านายเหอเป็นนักเจรจาที่เข้มแข็งมาก
ล่าสุด ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความพยายามที่จะยุติสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างความผันผวนแก่ตลาดการเงิน โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงต่อสื่อมวลชนว่าทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน พร้อมกับลดอัตราภาษีนำเข้าที่มีอยู่ลง 115% ภายใต้ข้อตกลงนี้ จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เหลือ 10% จากเดิม 125% ขณะที่ สหรัฐ จะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% จากเดิม 145%
การเจรจาปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีนครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัทป์ ของสหรัฐ เริ่มประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยเริ่มจาก 20% และหลังจากนั้นก็มีการปรับขึ้นอีกหลายครั้งจนล่าสุดอยู่ที่ 145% ขณะที่จีนก็ขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ หลายรอบเช่นกัน จนล่าสุดอยู่ที่ 125% ซึ่งสงครามการค้าระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจของโลกทั้งสองประเทศได้สร้างความโกลาหลอย่างหนักให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก
มีคำถามว่าแล้วประเทศไทยจะได้เจรจาภาษีกับสหรัฐเมื่อไหร่ เพราะมีความพยายามหลายหน เสนอข้อมูลต่างๆ ไปยังสหรัฐหลายแฟ้ม หลายช่องทาง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะหยิบขึ้นมาพิจารณาบนโต๊ะเจรจา ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่มีใครรู้
คงจำกันได้ เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยเผยแพร่แถลงการณ์ของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ วันที่ 14 มีนาคม 2568 มีเนื้อความดังนี้ วันนี้ ผมขอประกาศนโยบายการจำกัดการออกวีซ่าใหม่ที่จะมีผลกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติในปัจจุบันหรือในอดีตที่รับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์หรือสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนาอื่นที่มีปัญหาการคุ้มครองไปยังจีน เรามุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับความพยายามของจีนในการกดดันรัฐบาลต่างๆ ให้ส่งชาวอุยกูร์และกลุ่มอื่นๆ กลับไปยังจีน ซึ่งพวกเขาจะถูกทรมานและถูกบังคับให้หายตัว
ผมจะดำเนินการนโยบายนี้ทันทีโดยการดำเนินการขั้นตอนเพื่อกำหนดข้อจำกัดในการออกวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ในปัจจุบันและในอดีตจากรัฐบาลไทยที่รับผิดชอบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คน จากประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์
ซึ่งหลายคนสงสัยว่าที่ไทยไม่ไปสหรัฐเพราะเจ้าหน้าที่ชุดเจรจาหลายคนถูกจำกัดวีซ่าจากปัญหาอุยกูร์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด เพราะ รมว.การต่างประเทศในสายตาสหรัฐและเวทีโลก ถือเป็นเบอร์ 2 รองจากนายกรัฐมนตรี ปลดล็อกอุยกูร์ให้ได้ก่อน แล้วผลักดันวาระการเจรจาทางภาษี
อย่าลืมว่างานนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะไปดักรอปธน.ทรัมป์ หรือ รมว.การต่างประเทศสหรัฐหน้าห้องน้ำหรือในงานเลี้ยงต่างๆ แบบที่นักธุรกิจเขาทำกันคงไม่ได้แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนโต๊ะอย่างเปิดเผย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี