ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่เด่นชัดมากของการเมืองไทย คือมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง
แม้เราจะมีกฎหมาย ที่คอยกำกับเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมเพิ่มขึ้นมาเพื่อคอยกำกับ คุณภาพของนักการเมือง แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญกว่ากฎหมายคือ “สำนึก” ของนักการเมือง
ซึ่งถ้าพูดเรื่องสำนึกทางจริยธรรม ก็อาจจะมีคนมาชวนตีความอีกว่า มันไม่มีเครื่องวัดที่ชัดเจน ซึ่งก็จริง
ถ้าหากเราดูประเทศที่พัฒนาแล้ว เรามักจะดูจากเรื่องของการพัฒนาทางเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือทางด้านเศรษฐกิจ เช่น รายได้ของประชากรแต่สิ่งหนึ่ง แต่ที่เรามักจะละเลยไม่ค่อยพูดถึง ก็คือ มาตรฐานของนักการเมืองในประเทศเหล่านั้นมักจะแตกต่างจากบ้านเราด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของ มาตรฐานทางจริยธรรม
ประเทศที่ชัดเจน ก็คือญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้ มีกรณี อื้อฉาว เป็นข่าวโด่งดัง คือการที่นายเอโตะ ทาคุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของญี่ปุ่น ได้กล่าวว่า “ผมไม่ได้ซื้อข้าว ผมต้องขอบคุณผู้สนับสนุนที่ให้ข้าวผมมาเยอะ ผมจึงมีข้าวอยู่เต็มบ้านจนสามารถขายได้เลย”
แม้ว่าในเวลาต่อมา รัฐมนตรีเอโตะจะขอโทษและถอนคำพูดของเขา แต่พรรคฝ่ายค้าน รวมถึงประชาชนในประเทศได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยกล่าวว่าคำพูดของเขาไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวพุ่งสูงจนกระทบภาคครัวเรือน
ซึ่งยังไม่ทันที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ เขาก็ตัดสินใจลาออกต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า “ในฐานะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในการควบคุมราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น การพูดบางอย่างที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า เป็นเรื่องถูกต้องที่จะลาออกและขอโทษต่อประชาชนอย่างจริงใจ”
นี่คือสปิริต หรืออีกนัยหนึ่งคือมาตรฐานทางจริยธรรม ของนักการเมืองญี่ปุ่น ที่เมื่อเปรียบเทียบกับนักการเมืองของไทยเรา ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
หันมาดูประเทศไทยของเรา กรณีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซน ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่เนื้อหาของการพูดคุย ที่คนไทยรับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าแม่ทัพภาค 2 คือคนของฝ่ายตรงข้าม หรือสมเด็จฮุนเซนอยากได้อะไรขอให้บอกจะจัดการให้ ฯลฯ คนที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆกับรัฐบาลชุดนี้ ล้วนบอกว่า นี่เป็นพฤติกรรมของผู้นำประเทศ ที่มิอาจยอมรับได้ แต่นายกรัฐมนตรีของเรากลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิด หรือร้ายแรงอะไร มีเพียงแค่การขออภัย และโยนความผิด รวมถึงเบี่ยงประเด็นไปที่การไม่มีมารยาทของสมเด็จฮุนเซนที่แอบอัดคลิปการสนทนา ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ มีแต่เพียงการอธิบายว่า “ดิฉันไม่ได้อะไร และประเทศชาติยังไม่ได้เสียอะไร”
ซึ่งเป็นการพูดที่แสดงถึงการไม่รู้สึกผิดใดๆ กับการกระทำที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่คนในชาติมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จนเกิดกระแสไม่พอใจและแสดงออกไปในทิศทางเดียวกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อนำมากรณีของนักการเมืองญี่ปุ่น ที่แค่พูดจาแบบไม่คิดในเรื่องเล็กๆแต่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะยังแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งเรื่อง
ดังกล่าวเล็กมากเมื่อเทียบกับ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้กระทำลงไป แต่การแสดงความรับผิดชอบ กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่คือมาตรฐานทางจริยธรรมที่ต่างกันอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
การเรียกร้องความรับผิดชอบ และมาตรฐานทางจริยธรรมจากผู้บริหารประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องนามธรรม หรือ แค่ให้ดูดีเท่านั้น แต่มันคือการสร้างบรรทัดฐาน และการคัดกรองนักการเมืองที่มีคุณภาพ ที่จะมานำพาประเทศชาติให้เดินไปข้างหน้าพัฒนาอย่างมั่นคง
อย่าลืมว่า นักการเมืองเลว ผู้นำเลว ที่ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ต่อสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่สามารถพาประเทศไปสู่ความเจริญ ประชาชนอยู่ดีกินดีได้อย่างแน่นอน เพราะถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็คงไม่เกรงกลัวที่จะกระทำชั่ว เอาผลประโยชน์ชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวได้เสมอ และนั่นคือหายนะของประเทศชาติและประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี