เพื่อนข้างบ้านใครเป็นกุ๊ย ขี้ยา ติดการพนัน (คอลเซ็นเตอร์ บ่อนกาสิโน) เล่นเสียไปเยอะ แล้วคิดอ่านลักขโมยปล้นชิงทรัพย์สินของบ้านเรา เคลมเอาที่ดินของเรา แถมด่าว่าเราใส่ร้ายเรา ทั้งๆ ที่ เราช่วยเหลือสารพัดอย่าง เช่น ให้กู้ยืมเงินให้ทุนลูกหลานเขา ช่วยสร้างถนนหนทาง สะพาน ช่วยฝึกอบรมฝีมือแรงงาน ฯลฯ
ใครมีเพื่อนบ้านแบบนี้ จะเข้าใจความรู้สึกของ“ราชอาณาจักรไทย”
1.เหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 นั้น ทหารไทยได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธได้รุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ของประเทศไทย มีการขุดคูเลต ฝ่ายไทยจึงจัดกำลังขนาดเล็กเข้าไปเพื่อลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธตอบโต้ จึงเกิดการปะทะกัน
แต่ฝ่ายกัมพูชากลับนำเรื่องเท็จไปใส่ร้ายกล่าวหาไทยว่าเป็นฝ่ายยิงก่อน โกหกหน้าตายว่าทหารกัมพูชาอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2543 บิดเบือนว่าฝ่ายไทยรุกราน แล้วเสริมกำลังทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ ไม่แยแสคำร้องขอให้ถอนทหารออกไปจากฝ่ายไทย
สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา แถลงต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภากัมพูชา สนับสนุนการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แถมขู่ว่า “ถ้าไทยไม่ยอมให้ศาลตัดสิน ปัญหานี้ก็จะเหมือนกับฉนวนกาซาที่ไม่มีวันจบสิ้นการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ หรือใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า” –สมเด็จฮุนเซนกล่าว
2.ฮุน มาเนต ฝันกลางวัน ละเมอกลางแดด พูดจาเพ้อเจ้อ ไม่สนใจความเป็นจริง
นายกฯ กัมพูชา ออกแถลงการณ์ อ้างว่า ฝ่ายกัมพูชายึดหลัก 4 ข้อ
บอกว่า กัมพูชายึดมั่นในจุดยืนในการรักษาสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมืออันดีกับไทย การตัดสินใจส่งประเด็นปัญหาบริเวณปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และพื้นที่มุมไบตรงช่องบก ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ คือการแสวงหาการแก้ไขปัญหาชายแดนในพื้นที่ดังกล่าวโดยสันติโดยเร็วที่สุด
แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ที่ผ่านมากัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ทั้งขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดนที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ ไทยประท้วง 400 กว่าครั้ง แต่ฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือแก้ไขน้อยมาก
พลตรีวันชนะ สวัสดี ระบุว่า กัมพูชาไม่สนโลก แต่จะไปศาลโลก จะให้เคารพศาล แต่ข้อตกลงตั้งมากมายเขมรไม่เคยเคารพเลย เขมรผิดทุกเงื่อนไขข้อตกลง ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
“...ที่ผ่านมา ตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วม(JBC)แล้ว และยังมี MOU43 เพื่ออำนวยให้ JBC ทำงานง่ายขึ้น สาระหนึ่งของ MOU คือ ไม่ให้ทั้งสองฝ่ายจัดแจงภูมิประเทศตามแนวชายแดน ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ แต่ปัจจุบันก็เห็นชัดว่า มีการปรับปรุงภูมิประเทศ ละเมิด MOU มาตลอด ล่าสุด คือ ขุดแนวคูเลตในพื้นที่ฝั่งไทย
การละเมิดแต่ละครั้ง นำไปสู่การปะทะ เมื่อเกิดการปะทะ จะมีข้อตกลงหยุดยิง และข้อตกลงข้อตกลงปฏิบัติร่วม –ข้อตกลงหยุดยิงช่องสะงำจอม –ข้อตกลงหยุดยิงจอมโปรเสม็ด
–ข้อตกลงปฏิบัติร่วมไทยกัมพูชาปราสาทตาเมือน –ข้อตกลงปฏิบัติร่วมไทยกัมพูชาปราสาทตาควาย –ข้อตกลงปฏิบัติร่วมไถ่กัมพูชาช่องกร่าง -MOU43 -คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา
ย้ำเหมือนเดิม เกิดตรงไหนคุยตรงนั้น
การที่จะไปคุยศาลโลก คงไม่ได้อะไร เพราะ ไม่สนโลกเลย มีพื้นที่คุยมากมายแต่กลับละเลย เบี่ยงเบน ไม่จริงใจ”
ความจริง ประเทศไทยไม่รับอำนาจศาลโลก มากว่า 65 ปีแล้ว!!!
3.“ความจริง…” 12 ข้อ ประเด็น ไทย –กัมพูชา”
พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ FB ระบุว่า
“ความจริง…
1.ไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนมายาวนานเนื่องจากยึดถือหลักฐานแผนที่ที่ต่างกัน
2.แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นผลผลิตจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 เป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด
3.ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการยึดเส้นเขตแดนที่แตกต่างกันตามข้อ 1 และข้อ 2 จึงตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ขึ้นมาเพื่อร่วมกัน
จัดทำแนวเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย โดยผลผลิตสุดท้ายคือ หลักเขตแดน และแผนที่
4.ขณะที่ JBC ทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่นทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลง MOU43 สาระสำคัญข้อ 5 ระบุไม่ให้ทั้งสองฝ่ายดัดแปลงภูมิประเทศตามแนวชายแดนซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ
5.ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดน ที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ เราประท้วง 400 กว่าครั้งแต่ให้ความร่วมมือ
แก้ไขน้อยมาก ในขณะที่ฝั่งเราเป็นเขตอุทยานเข้าไปทำอะไรไม่ได้
6.พื้นที่ช่องอานม้า ก่อนเกิดเหตุเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.2568) ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. เราก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ย่านกลางนั้น
เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน
7.วันที่ 28 ก.พ.2568 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังขึ้นมาวางที่ต้นพญาสัตบรรณซึ่งล้ำอธิปไตยไทยเข้ามาประมาณ 150 ม. รวมถึงขุดคูเลททำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43
8.ฝ่ายเราพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ อดทนอดกลั้น เจรจาขอให้ถอนกำลังที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไปหลายครั้งแต่เขมรก็ไม่ยอมถอน สุดท้ายมีการใช้อาวุธเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568
9.ผู้บังคับบัญชาของไทยทุกระดับพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติ เจรจาขอให้ถอนกำลังจากจุดที่รุกล้ำ แต่เขมรอ้างว่ากำลังส่วนนี้วางอยู่เดิมมาตั้งแต่ก่อนมี MOU43 ซึ่งไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน เพราะถ้ามีกำลังวางอยู่จุดนี้เมื่อปีที่แล้ว(ส.ค.2567) ผมจะเดินผ่านจุดนี้เข้าไปที่ศาลาตรีมุขได้อย่างไร
10.เขมรอ้างว่าถูกรุกราน ไทยไม่แก้ปัญหาโดยสันติ จะขยายความขัดแย้งสู่ศาลโลก ทั้งๆ ที่สองประเทศมีกลไกแก้ไขปัญหาร่วมกันอยู่ โดยอ้างว่าปัญหาจะได้จบ ถามว่ามันจะจบได้อย่างไร?
11.กัมพูชายังเสริมกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ พยายามจะนำกำลังขยายไปควบคุมพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน ทั้งๆ ที่พื้นที่เหล่านั้นเดิมทั้งสองฝ่ายไม่มีการ
วางกำลัง เป็นป่าเป็นเขา ถ้าเราเอากำลังไปวางเพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยก็เผชิญหน้ากัน ทำเพื่ออะไร?
12.กติกาสองบ้านเรามีอยู่ เรามาเปิดหน้าคุยกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่าไหม ถ้าเรื่องถึงโรงถึงศาลลูกหลานเราก็จะเป็นปรปักษ์กันตลอดไป จะเกิดประโยชน์อะไรถ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน..”
เรียกว่า กระจ่างชัดทุกข้อ !!
กระชากหน้ากากกลเกมผู้มีอำนาจฝ่ายกัมพูชา แบบสุภาพชน !!!
4.กัมพูชาเดินกลเกมจะลากไทยไปศาลโลก พร้อมๆ ฉวยผลประโยชน์สร้างกระแสการเมืองภายในประเทศ เพื่อให้ชาวกัมพูชาสนับสนุนค้ำจุนอำนาจของรัฐบาลตระกูลฮุนต่อไป
แม้รัฐบาลไทยได้แสดงท่าทีเจรจา นุ่มนวล เชิญชวนให้กลับมาพูดคุยทวิภาคี แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ตอกกลับแบบไม่ไว้หน้า แถมประกาศไม่ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รุกล้ำ อ้างว่าเป็นดินแดนกัมพูชา
ฝ่ายกัมพูชายังเสริมกำลังและจัดตั้งฐานทหารใกล้ชายแดน แสดงถึงความไม่ร่วมมือและเป็นภัยต่ออธิปไตยและความมั่นคงของไทย ทำให้ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์และความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามแนวชายแดน
มติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยหลักในการควบคุมการเปิด–ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภท เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของกองทัพบกอย่างเคร่งครัด
พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจในการควบคุมการเปิด–ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสามารถพิจารณากำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จำเป็น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตามลำดับขั้นความเข้มงวดในแต่ละพื้นที่
กองกำลังบูรพา กำหนดมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนถาวรฯ/ จุดผ่อนการค้าฯ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ ปรับเวลาเปิด-ปิด ห้ามชาวไทยที่ไปเล่นการพนันและไปท่องเที่ยวออกประเทศ เป็นต้น ส่วนจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี๋ยน-สตึงบท) อำเภออรัญประเทศ, จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด, จุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา และจุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ ก็ปรับเวลาเปิด-ปิด เพิ่มเงื่อนไขข้อกำหนด
กองกำลังสุรนารี กำหนดมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนถาวร/จุดผ่อนปรนการค้าในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ช่องอานม้า อุบลฯ, ช่องสายตะกู อุบลฯ, ช่องสะงำ ศรีสะเกษ และช่องจอม สุรินทร์ ปรับเวลาเปิด-ปิด เพิ่มเงื่อนไขข้อจำกัด และจะปิดด่านทันทีเมื่อมีการปะทะ
5.ไทยต้องชนะด้วย National Power
ฝ่ายไทยกำหนดมาตรการจากเบา-ไปหนัก เพื่อตอบโต้การกระทำมิชอบของรัฐบาลกัมพูชา และปกป้องรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทย
ผมเห็นว่า นักการเมืองไทยคนไหน จะเป็นหนี้บุญคุณฮุนเซนก็ช่าง แต่ไม่ใช่ประเทศไทย
ถามว่า วันนี้ ไทยเรายังควรสุภาพ และให้ไมตรีกับ “รัฐอันธพาล” หรือไม่?
ที่ผ่านมา เราให้มิตรภาพแก่กัมพูชามาก
ขนาดกัมพูชาละเมิด MOU 43 ไป 470 ครั้ง ไทยยังให้เกียรติ เชิญมาคุยแก้ปัญหาชายแดนกันฉันท์เพื่อนบ้าน
วันนี้ กัมพูชากำเริบเสิบสาน เหิมเกริม ใส่ร้าย กล่าวหาเอาทหารเข้ามารุกล้ำ ข่มขู่ ดูหมิ่นไทย ลากอาวุธหนักมาจ่อประชิด แถมจะฟ้องศาลโลกเคลมเอาแผ่นดินไทยฝ่ายเดียว
ลองคิดว่า ครั้งนี้ ในเมื่อฝ่ายกัมพูชาเมิด MOU 43 มาเกือบ 500 ครั้ง มันไม่มีความจริงใจเลย ถ้าไทยเล่นบทสุภาพชนต่อไป ก็มีแต่เท่าทุนกับขาดทุน คือ ดีสุด กัมพูชาก็ถอยกลับไป (ซึ่งมันไม่ควรล้ำมาแต่ต้น) ส่วนเรากลับสู่สภาพเดิม แต่ต้นทุนเกิดแก่ประเทศไทยแล้ว
น่าคิดว่า ครั้งนี้ ถ้ารัฐบาลกัมพูชาไม่ยอมจบโดยเร็ว ฝ่ายไทยเราควรเปิดเกมรุกกลับคืนบ้าง สมน้ำสมเนื้อ
ไทยเราควรรุกเข้ายึดครองแผ่นดินราชอาณาจักรไทย ตามแผนที่ 1:50,000 ที่ทางการไทยเรายึดถือเต็มรูปแบบ ทุกจุด ทุกตารางนิ้ว ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 798 กิโลเมตร (ก็มันเลือกไม่เคารพ MOU เอง)
ไม่ต้องมีแล้วพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่อ้างสิทธิ หรือ No Man’s Land
มีแต่เขตแดนราชอาณาจักรไทย!!!
ต้องเลิกมีไมตรีให้รัฐที่ทำตัวเป็นอันธพาล
เอาแบบใครใหญ่ใครอยู่
ถ้าต้องรบ ก็รบชนะแบบเด็ดขาด
จะได้เป็นเยี่ยงอย่าง ประเทศอื่นอย่าได้มาทำกับไทยแบบเขาอีก
จากนั้น ถ้าฝ่ายกัมพูชาจะขอเจรจา ก็ค่อยต่อรองกัน จะต้องรับผิดชอบต้นทุนที่เกิดขึ้นด้วย
ไม่ใช่เลิกแล้วต่อกัน จบไปแบบที่ไทยขาดทุน
เพราะต้องไม่ลืมว่า ครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชามีการวางแผน ดำเนินการ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์ของตนโดยฝ่ายเดียว
ศึกครั้งนี้ คงดีที่สุด หากไทยเราชนะได้ โดยไม่ต้องลั่นกระสุน
นั่นหมายความว่า ไทยเราต้องใช้พลังอำนาจแห่งชาติ หรือ National Power เต็มรูปแบบ
ทั้งทรัพยากร กำลังรบ ศักยภาพทางทหาร ศักยภาพทางเศรษฐกิจ อำนาจทุน ภาวะผู้นำ ระบบการเมือง การทูต ความสามัคคีของประชาชนคนในชาติ ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ เพื่อบีบบังคับ กดดัน หรือจูงใจให้ฝ่ายกัมพูชา ยอมรับตามแนวทางของไทยเรา โดยไม่ต้องไปถึงขั้นลงมือทำสงครามสู้รบกันด้วยอาวุธสงครามจริง (ถ้าต้องรบ ก็รบแบบเด็ดขาด ไม่ปรานี)
ถึงที่สุดแล้ว เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยของเรานั้น “...อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย”
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี