คืนวันที่ 22 กรกฎาคม ภาพของงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลที่จัดขึ้นในบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง กลับกลายเป็นสัญญะทางการเมืองที่น่าขบคิดยิ่งกว่าคำพูดหรือคำมั่นสัญญาใดๆ ภายในงาน ผู้ที่โดดเด่นที่สุดกลับไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่หัวหน้าพรรคใด แต่คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เคยถูกศาลตัดสินจำคุกในคดีทุจริต ผู้ที่เพิ่งกลับประเทศมาได้ไม่ถึงปีเต็ม แต่กลับสามารถ “กลับสู่จุดศูนย์กลางอำนาจ” ได้อย่างเปิดเผยโดยปราศจากข้อครหาในหมู่ผู้มีอำนาจร่วมสมัย
การปรากฏตัวของนายทักษิณในงานดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่การ “เยี่ยมเยียน” หรือ“ให้กำลังใจ” พรรคร่วมรัฐบาล หากแต่เป็นการ “แสดงบทบาท” อย่างชัดเจนในฐานะผู้กุมทิศทางของรัฐบาลชุดนี้ ผ่านคำประกาศว่า “รัฐบาลหน้า ก็จะยังร่วมมือกันแบบเดิม” ซึ่งไม่ได้หลุดออกจากปากของผู้บริหารพรรคใด แต่เป็นคำพูดของผู้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีบทบาทในทางกฎหมายใดเลยทั้งสิ้น
ความจริงที่สังคมรู้กันมาโดยตลอด คือ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ไม่ได้เป็นเพียงบ้านพักของนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการพักโทษ แต่คือสถานที่นัดหมายลับสำหรับเจรจาทางการเมือง การตั้งรัฐบาล การแบ่งเก้าอี้ การจัดตำแหน่ง แม้แต่การตัดสินใจในเรื่องนโยบายระดับประเทศ ยังต้องอิงแนวคิดที่สะท้อนออกมาจากบุคคลผู้นี้ ซึ่งแม้ไม่มีอำนาจโดยตำแหน่ง แต่กลับมีอิทธิพลที่แท้จริง
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นายทักษิณปรากฏตัวบนเวทีอย่างต่อเนื่อง จากเวทีสาธารณะ ไปจนถึงเวทีสื่อมวลชน สะท้อนวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่พูด” มักจะกลายเป็น “สิ่งที่รัฐบาลทำ” ในเวลาไม่นาน ความแน่นแฟ้นระหว่างทักษิณกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล ยิ่งได้รับการตอกย้ำด้วย “ท่าที” ของแกนนำพรรคการเมืองหลายพรรค ที่ต่างพากันยกมือไหว้ โค้งคำนับ แสดงความเคารพนอบน้อมต่อผู้ที่เคยหนีคำตัดสินของศาลยาวนานนับสิบปี
เราอาจเข้าใจได้หากเป็นการ “ให้อภัยในฐานะมนุษย์” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่แค่นั้น เพราะมันคือการยอมรับอำนาจของบุคคลผู้เคยถูกตัดสินว่ากระทำความผิดฐานทุจริตในหน้าที่อย่างชัดเจน เป็นการทำลายเส้นแบ่งระหว่าง “ผิด” และ“ถูก” ในระดับสัญลักษณ์ ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมที่พยายามสร้างวัฒนธรรมต่อต้านคอร์รัปชั่น
การที่นักการเมืองระดับสูงจำนวนมาก “แสดงออก” ถึงการเคารพนับถือบุคคลที่เคยถูกตัดสินว่าทุจริต เท่ากับเป็นการทำลายหลักจริยธรรมทางการเมือง และลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่เฝ้าหวังว่าจะได้เห็นการเมืองที่มีความโปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาล และไม่ยอมจำนนต่อการใช้อำนาจในทางมิชอบ
เราต้องถามอย่างตรงไปตรงมาว่า หากสังคมยอมรับผู้ที่เคยทุจริตเพียงเพราะเขายังมีอิทธิพล หรือมี “เสียง” ที่สามารถกำหนดทิศทางประเทศได้ แล้วเราจะไปสอนลูกหลาน หรือปลูกฝังสำนึกของความสุจริตได้อย่างไร? จะเรียกร้องให้ข้าราชการ หรือนักการเมืองรุ่นใหม่ ยึดถือจริยธรรมได้อย่างไร ในเมื่อสังคมยกย่องผู้ที่เคยละเมิดจริยธรรมอย่างโจ่งแจ้ง?
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “งานเลี้ยง” หรือ “คำพูด”แต่มันคือกระจกสะท้อนความเสื่อมถอยของมาตรฐานทางจริยธรรมในระบบการเมืองไทย และเป็นคำถามใหญ่ที่เราทุกคนควรตอบให้ได้ - ก่อนที่ความเคยชินกับอำนาจจะทำให้เรามองไม่เห็น “ความผิด” อีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี