เช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชาอีกครั้งหลังจากทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ทหารไทยที่บริเวณตรงข้ามฐานหมูป่าทางทิศตะวันออก ห่างจากปราสาทตาเมือนธม 200 เมตร อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะที่ฝ่ายทหารไทยตอบโต้เพื่อป้องกันตัว ก่อนที่แนวรบจะขยาย
วงออกไปอย่างดุเดือดอย่างน้อยๆ 6 จุดตามแนวชายแดน
แนวปะทะที่ขยายวงดังกล่าว เป็นความจงใจสร้างสถานการณ์ตามแผนของฝ่ายกัมพูชาที่เตรียมการมาก่อนหน้านี้เพื่อปั้นหลักฐานกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำอธิปไตยตั้งแต่เหตุปะทะครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนมีการเจรจาและถอนกำลังออกไปโดยวางสนามทุ่นระเบิดใหม่ทิ้งเอาไว้ ทำให้ทหารไทยลาดตระเวนไปเหยียบจนขาขาด 2 ราย และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ซึ่งจนถึงเวลานี้ฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่ยอมรับว่าเป็นฝ่ายละเมิดกติกาสากล
ที่ต้องประณามก็คือ ความป่าเถื่อน-ไร้มนุษยธรรมของทหารกัมพูชา ใช้อาวุธหนักโจมตีแหล่งชุมชนโบราณสถาน ปราสาท ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน โดยยิงจรวด BM-21 จำนวน 2 นัด เข้ามาในพื้นที่ชุมชนภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ รวมทั้งยิงใส่ปั๊มน้ำมันในพื้นที่บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้เด็กนักเรียน และประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหาย
จึงเป็นเรื่องสมควรแล้วที่พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการ ทหารอากาศ ได้มีคำสั่งอนุมัติเครื่องบิน F-16 จำนวน 6 ลำ ทะยานฟ้าบินสนับสนุนกองทัพบก ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการปะทะตลอดแนว ถล่มฐานทหารกัมพูชาบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินคนไทย ซึ่งมีรายงานว่าบก.พลน้อย.สสน.8 บก.และพลน้อย.สสน.9 ของกัมพูชาถูกทำลายอย่างราบคาบ
เพจกองทัพภาคที่ 2 ได้เผยแพร่ข้อความว่าจากเหตุการณ์ที่กัมพูชากระทำการโจมตีด้วยอาวุธใส่พื้นที่พลเรือนของไทยในเขต อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ประเทศไทยมีสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “…รัฐสมาชิกมีสิทธิในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีก่อนพร้อมทั้งต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที…”
หากจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง กองทัพบกไทยจะดำเนินการ ตามหลักสากลของกฎหมายมนุษยธรรม โดยจะโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร (Military Objective),หลีกเลี่ยงการกระทบต่อทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ,ไม่ใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางทหาร เพราะจะทำให้ หมดสิทธิได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าสากลของมนุษยธรรม แต่จะไม่ยอมให้การโจมตีใดๆ ละเมิดอธิปไตยและบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติได้โดยไม่มีการตอบโต้ พร้อมกันนี้เพจกองทัพภาคที่ 2 ยังได้โพสต์ข้อความว่า ขอเชิญคนไทยร่วมใส่แฮชแท็ก #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #cambodiaopnedfire
จึงเป็นเรื่องที่สมควรเช่นกันที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.ออกมาประกาศอย่างหมดความอดทนว่า จากนี้ไปจะไม่มีการพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาอีกเพราะที่ผ่านมาเราพยายามแก้ปัญหาผ่านกระบวนการแบบทวิภาคีแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเลย
ขณะเดียวกัน ยังได้หารือกับกองทัพ ตัดสินใจมอบอำนาจให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในการอำนวยการยุทธ์ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ปี 2539 เป็นผู้บัญชาการรบ 3 เหล่าทัพเพื่อตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาอย่างสมน้ำสมเนื้อ ตามแผนปฏิบัติการจักรพงษ์ภูวนารถที่ทางกองทัพประกาศใช้ป้องกันประเทศ
จากนี้ไป ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมกันส่งแรงใจไปให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่บริเวณแนวชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย และในที่นี้ก็ขอให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินซึ่งเรายังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อและขยายวงกว้างไปถึงระดับไหน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี