แผนการหนีศาลของจำเลยคดีชั้น 14 เชื่อว่า อภินิหารทางกฎหมายคงบอกให้เตรียมการหนี หลังจากเจ้าของวาทกรรมอภินิหารทางกฎหมาย ให้การเป็นพยานปากสุดท้ายในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนว่า นักโทษเด็ดขาดได้รับโทษตามคำสั่งศาลหรือไม่
วันที่ 29 กรกฎาคม นายวิษณุ เครืองาม นิติบริกร เจ้าของวาทกรรม “อภินิหารทางกฎหมาย” ที่นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีชั้น 14 ไว้ใจ และใช้บริการในคดีสำคัญมากที่สุด ขึ้นให้การเป็นพยานปากสุดท้าย บรรยากาศในศาลฯวันนั้นนายวิษณุ คงประเมินว่าที่ศาลสั่งให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายทักษิณ มาฟังคำสั่งศาล เป็นสัญญาณร้ายต่อนายทักษิณ
เข้าใจว่า ทักษิณเตรียมการหนีศาล ตั้งแต่วันที่ได้รับสัญญาณจากอภินิหารกฎหมาย เขาเตรียมการหนีโดยที่ให้สมุนบริวารจัดการเอกสารเดินทางให้เขาพร้อมทั้งบอดี้การ์ดคู่ใจ 4 คนไว้พร้อม และหลังจากศาลอาญายกฟ้องคดีม.112 ซึ่งหมดเงื่อนไขห้ามเขาเดินทางออกต่างประเทศ
ทักษิณให้ทนายเคลียร์เงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และเขารอลุ้นรัฐธรรมนูญตัดสินคดี แพทองธาร ชินวัตร เมื่อพบว่าศาลตัดให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณสั่งให้นักบินไปทำ Flight Plan หรือ “แผนการบิน” กับหอควบคุมการบิน (ATC) ว่าจะเดินทางไปดูไบเมื่อวันที่1 กันยายน 2568 ต่อมาในวันที่ 4 กันยายน นักบินไปทำแผนการบินเดินทางจากไทยไปสิงคโปร์ แหล่งข่าวใน ATC กล่าวว่า นักบินแจ้งล่วงหน้าว่ามีผู้โดยสารสามคน
บ่ายแก่วันที่ 4 กันยายน ทักษิณ และ บอดี้การ์ด 4 คน ปรากฏตัวในเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ข้อมูลที่แจ้งล่วงหน้า ไม่มีชื่อทักษิณ จึงมีการตรวจสอบกันนานพอสมควร ดังที่มีข้อความผู้ใช้ชื่อทักษิณ ชินวัตร โพสต์ ประมาณเที่ยงคืนว่า
“วันนี้ผมตั้งใจเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ กับหมอที่เคยดูแลระหว่างอยู่ต่างประเทศ ตม.ที่ไทย ถ่วงเวลาผมไว้เกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ผมได้ชนะคดี ที่ถูกห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว มีสิทธิเดินทางเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป
ระหว่างเส้นทางบิน นักบินแจ้งว่า การที่โดน ตม.ถ่วงเวลาผมไว้นาน ทำให้เครื่องจะไปลงสนามบิน Seletar ซึ่งใช้สำหรับเครื่อง Private Jet ลงที่สิงคโปร์ไม่ทัน เพราะสนามบินเปิดให้บริการ ถึงแค่ 4 ทุ่ม เท่านั้น (เวลาสิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชม.)
เมื่อไม่สามารถไปลงที่สิงคโปร์ได้ ผมจึงตัดสินใจให้นักบินเปลี่ยนแผนไปลงดูไบ เพราะที่ดูไบผมมีหมอกระดูกและหมอปอดที่ผมใช้ประจำมานาน และยังมีโอกาสได้เยี่ยมเพื่อนที่ดูไบ ซึ่งไม่ได้เจอกันมา 2 ปีกว่าแล้ว ระหว่างรอขออนุญาตจากสนามบินดูไบ นักบินต้องบินวนรออยู่พักใหญ่จนกระทั่งได้รับอนุญาตจึงได้หันหัวบินต่อไปยังดูไบ
ผมตั้งใจจะกลับไปไทยไม่เกินวันที่ 8 เพื่อเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง วันที่ 9 กันยายนนี้ ครับ”
เป็นนิสัยถาวรของนายทักษิณที่โกหกหลอกลวงจนนาทีสุดท้าย และเมื่อถูกจับได้ ก็โยนความผิดไปให้กองตรวจคนเข้าเมืองว่าทำให้เขาเสียเวลาไปลงสิงคโปร์ไม่ทัน ทั้งๆ ที่ นักบินได้ทำแผนการบินไปดูไบไว้ล่วงหน้า 3 วัน แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายเขาทำแผนการบินซ้อน ในวันสุดท้ายของสิงคโปร์
เครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวของทักษิณบินเส้นทางไปสิงคโปร์จริงแต่พอถึงช่องแคบมะละกาเรดาร์หอควบคุมการบินพบว่า เครื่องบินหันหัวกลับมุ่งหน้าไปทางมหาสมุทรอินเดีย และหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีต่อมา เครื่องบินก็วนกลับมาทางทะเลอันดามัน และหมุนวนอยู่อย่างนั้นสองรอบ หากเป็นเครื่องบินโดยสารทั่วไปคงน้ำมันหมดตกทะเลตายทั้งลำ
จากตรวจสอบพบว่าเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวของทักษิณ มีสมรรถนะการบินได้ถึง 14,000 กม. และเติมน้ำมันไว้เต็มพิกัดเครื่องบินจึงวนรออนุญาต จากหอควบคุมการบินเมืองเชนไนของอินเดีย ได้ถึง 2 ชม. ATC chennai india ที่ต้องให้รอนานเพราะเครื่องบินพ้นเขตรับผิดชอบของหอควบคุมการบินมาเลเซีย เข้าเขตควบคุมของ ATC อินเดีย โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
สรุปที่ต้องบินวน 2 รอบในมหาสมุทรอินเดียกับทะเลอันดามัน คือ การรอ ATC อินเดีย อนุญาตก่อนบินเข้าเขต เมื่อบินเข้าไปเขต ATC ของอินเดียได้ก็บินต่อไปดูไบทันที
การที่จำเลยวางแผนหนีอย่างดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในมหาสมุทรอินเดียได้ ยังมีคนเชื่ออีก หรือว่าจำเลยจะกลับมาฟังคำตัดสินของศาลฯ วันที่ 9 กันยายน นายทักษิณอาจกลับประเทศไทยหากศาลตัดสินลับหลังเป็นคุณกับเขาแต่หากตุลาการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้เขากลับเข้าคุก ชาตินี้คนไทยไม่ได้เห็นมารร้ายกลับมาทำร้ายประเทศไทยอีกต่อไป
ทักษิณ จอมอหังการเคยประกาศว่าจะไม่ให้ตัวเขาและคนในครอบครัวติดคุกแม้แต่วันเดียว ขณะที่หนีอยู่ต่างประเทศเขายังสามารถดีลกับผู้มีอำนาจในปี 2557 ช่วยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกรัฐมนตรีหนีในวันศาลฯตัดสินได้ ดังนั้นน.ส.แพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีคดีรุมเร้าซึ่งอาจทำให้เธอติดคุกได้ เชื่อว่าหากถูกดำเนินคดี และใกล้วันศาลตัดสิน น.ส.แพทองธารก็ต้องหนีตามรอยบิดาและอาหญิงของเธอ
ทักษิณหนีศาลไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่สงสัยคือที่เขาหนีรอดไปได้เพราะคำแนะนำของอภินิหารกฎหมายหรือไม่
จากเหตุรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำให้ทักษิณหนีอยู่ต่างประเทศ 1 ปี 5 เดือน แต่หลังจากพรรคพลังประชาชนของเขาชนะเลือกตั้งและนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณเดินทางกลับมาประเทศไทย ไปรายงานตัวสู้คดีที่ดินรัชดาฯต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังจากรายงานตัวทักษิณประกาศในที่แถลงข่าว ผู้เขียนจำได้ ทักษิณพูดว่า “ชาตินี้ไม่หนีไปไหนแล้วขอตายในประเทศไทย”
ทักษิณให้ทนายสู้คดีในศาลฯจนเกิดกรณีถุงขนมใส่เงินสองล้านบาท ลืมไว้บนโต๊ะเจ้าหน้าที่ศาลฯ เป็นข้อครหาฮือฮาในศาลและแวดวงการเมือง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ทนายของทักษิณพยายามติดสินบนศาลหรือไม่ โชคดีเวลานั้นอัยการสูงสุดชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” สั่งไม่ฟ้องคดีติดสินบนศาลนายพิชิต ชื่นบาน ติดคุกเฉพาะคดีละเมิดศาล
จนกระทั่งศาลฯนัดฟังคำตัดสินคดีที่ดินรัชดาฯวันที่ 12 สิงหาคม 2551 จำเลยคงมีพรายกระซิบหรือไม่อภินิหารกฎหมายประเมินว่าไม่เป็นคุณต่อจำเลย นายทักษิณ จึงขออนุญาต “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” เดินทางออกนอกประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 โดยให้เหตุผลเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศจีนและญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-10 สิงหาคม 2551 และไม่เดินทางกลับไทยอีกเลย
เมื่อจำเลยไม่ปรากฏตัว วันที่ 17 กันยายน 2551 ศาลตัดสินลับหลังให้จำเลย (ทักษิณ) รับโทษจำคุกสองปี ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ทักษิณเป็นสัมภเวสีหนีคุกอยู่ 16 ปี จนกระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม เมื่อแน่ใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลทักษิณก็เดินทางกลับบ้านวันที่ 22 สิงหาคม 2566
การกลับบ้านของทักษิณ สร้างความคลางแคลงใจแก่คนไทยว่า เขามีดีลกับใครถึงได้รับการปฏิบัติดีเช่นนั้นคือ ทักษิณมาถึงสนามบินได้รับการต้อนรับแบบ VVIP ยิ้มร่าถ่ายรูปหมู่กับครอบครัวทักทายสมุนบริวารด้วยอาการสดชื่นแจ่มใส นั่งขบวนรถหรูเข้าสู่พิธีกรรมในศาลฯ และขบวนรถหรูนำนักโทษไปยังเรือนจำ ได้เข้าคุกหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้
ตอนค่ำวันที่ 22 สิงหาคม นายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรียุติธรรม ไปพบนักโทษที่เรือนจำ นักโทษกับรักษาการรมว.ยุติธรรม พูดกันเรื่องอะไร รักษาการรองนายกฯนำเอกสารอะไรไปให้นักโทษลงนามหรือไม่ ไม่ทราบได้
แต่หลังจากรักษาการ รมว.ยุติธรรม ออกจากเรือนจำไม่นานก็มีรายงานว่า นักโทษมีอาการกำเริบอาจเสียชีวิตได้หากไม่ส่งไปโรงพยาบาลตำรวจโดยเร่งด่วน
นั่นคือที่มาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองเปิดไต่สวนเองว่า กรมราชทัณฑ์ ส่งนักโทษเด็ดขาดไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน ขัดคำสั่งขังของศาลหรือไม่ และเมื่อศาลฯนัดฟังคำตัดสินวันที่ 9 กันยายนนี้ จำเลย ก็หนีศาลไปดูไบ ในคืนวันที่ 4 กันยายน
จึงเกิดความสงสัยว่าทั้งสองครั้งที่จำเลยหนี ไม่อยู่ฟังคำสั่งศาล จำเลยทำตามคำแนะนำของอภินิหารทางกฎหมายหรือไม่?
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี