วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เป็นปีที่ 50 ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2568 ตามคำทูลเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่เพียงแต่เป็นบันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศจีน ที่สายตาทุกสายตาของพลเมืองโลกกว่า8 พันล้านคนได้ให้ความสนใจและติดตามข่าวสาร
สื่อทุกสำนักทั้งตะวันตกและในประเทศของจีน รายงานข่าวไปในทิศทางเดียวกันด้วยความชื่นชมว่า การเสด็จฯเยือนจีนของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีแห่งราชอาณาจักรไทย ทรงได้รับพระเกียรติยศสูงสุด จากการถวายการต้อนรับของทางการจีน และของประชาชนชาวจีน
นอกจากนั้นสื่อทุกสำนัก ยังรายงานด้วยว่า การเสด็จฯเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ของในหลวงรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นับเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทยในรอบพันปี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางความร่วมมือ“ไทย-จีน”ในอนาคต ทั้งในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ไทย และในฐานะเหตุการณ์ทางการทูตที่สะท้อนบทบาทของไทยในภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 นี้
สำนักข่าว “ซินหัว” (Xinhua) อันเป็นสำนักข่าวใหญ่ของทางการจีน และสำนักข่าว “รอยเตอร์ส” (Reuters) สื่อยักษ์ใหญ่ของตะวันตกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอังกฤษ ระบุว่านับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พระมหากษัตริย์ไทยเสด็จฯ เยือนประเทศจีนในฐานะประมุขของรัฐ นับตั้งแต่ไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี พ.ศ. 2518 ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งการเสด็จฯ ครั้งนี้จัดอยู่ในระดับ “State Visit” อันเป็นรูปแบบการเยือนที่สูงที่สุดตามธรรมเนียมการทูต และเกิดขึ้นในห้วงครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต“ไทย-จีน” โดยได้สะท้อนน้ำหนักของบทบาทไทยในสายตาของจีน และระดับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นของทั้งสองประเทศ
สำนักข่าว “Reuters”รายงานว่า การเยือนครั้งนี้เป็นหนึ่งในปฏิสัมพันธ์ระดับสูงสุดระหว่างไทยกับจีนในรอบหลายปีขณะที่“ South China Morning Post” “หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮ่องกง” และมีผู้อ่านมากกว่า 35 ล้านคนในหลายแพลตฟอร์ม ได้อ้างคำพูดของ“เหมา หนิง” (Mao Ning) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งระบุว่าความสัมพันธ์ “ไทย-จีน” นั้น “ใกล้ชิดเหมือนครอบครัวเดียวกัน” และแสดงให้เห็นว่า จีนให้ความสำคัญกับไทยในฐานะ“มิตรที่ไว้ใจได้”
โดยคำพูดของ “เหมา หนิง”ที่ว่า “ไทย-จีน ใกล้ชิดเหมือนครอบครัวเดียวกัน” นั้น เป็นคำกล่าวถวายการต้อนรับของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ณ มหาศาลาประชาชน จัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งผู้นำสูงสุดของจีนได้กราบบังคมทูลว่า “นี่คือครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยมาเยือนแผ่นดินจีน แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ถึงไมตรีอันลึกซึ้งว่า “จีนและไทยนั้นผูกพันดุจครอบครัวเดียวกัน”(as close as one family)”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว“Global Times” ก็ได้แสดงความคิดเห็นเผยแพร่เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในหัวข้อ “การเสด็จฯเยือนจีนครั้งประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ไทยคาดว่าจะเปิดหน้าบทใหม่แห่งมิตรภาพไทย-จีน” โดยมีเนื้อหาจากการอ้างคำสัมภาษณ์ของ“เกอ หงเหลียง”รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี (Guangxi University for Nationalities) ว่า “การเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งประวัติศาสตร์นี้ แสดงให้เห็นว่า แนวคิดจีนและไทยใกล้ชิดดุจครอบครัวเดียวกัน ซึ่งได้ยกระดับสู่ความแน่นแฟ้นใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม”
ในประเด็นที่ว่า “เหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจึงถูกเรียกว่า “ครอบครัวเดียวกัน” และยังคงพัฒนาอย่างแข็งแกร่งตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา?” นั้น, “เกอหงเหลียง” ได้ให้คำตอบว่า “สิ่งนี้เป็นผลมาจากแนวคิดปฏิบัตินิยมที่ทั้งสองฝ่ายยึดมั่น โดยในปี 1975 (พ.ศ.2518) ทั้งสองประเทศได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการปฏิบัตินิยม ด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวข้ามข้อจำกัดจากสงครามเย็นและความแตกต่างทางอุดมการณ์ นับแต่นั้นมา แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในภูมิทัศน์ทางการเมืองของไทย แต่ความสัมพันธ์จีน-ไทยก็ยังคงแข็งแกร่ง”
และอีก 3 ย่อหน้าที่สำนักข่าว“Global Times” ขยายความว่า เหตุใดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศระหว่าง“ไทย-จีน” จึงถูกเรียกว่า “ครอบครัวเดียวกัน”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของผู้นำระดับสูงด้านยุทธศาสตร์ แนวคิด จีนและไทยใกล้ชิดดุจครอบครัวเดียวกัน ได้แปรเปลี่ยนเป็นกำลังในการขับเคลื่อนที่ทรงพลังสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคี ประเทศไทยได้ส่งเสริมความร่วมมือหลายแง่มุม ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับจีน”
“ด้านความมั่นคง จีนและไทยได้จัดการฝึกซ้อมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ในด้านเศรษฐกิจ ไทยเป็นประเทศอาเซียนประเทศแรกที่ดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเสรีกับจีน ส่วนทางด้านการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสู่ประชาชน ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมอันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในทุกหนแห่ง”
“ประเทศไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียนและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงแต่เป็นการสานต่อมิตรภาพอันดีงามตามประเพณีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณสำคัญต่อประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ว่าจีนเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของทุกประเทศในภูมิภาคมาโดยตลอด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน”
อย่างไรก็ตาม การเสด็จฯเยือนจีนของในหลวงรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในครั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกล จากการเสด็จฯ เยี่ยมชมเมืองอวกาศแห่งกรุงปักกิ่ง และศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ ที่“Global Times” ชี้ว่า “อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงเจตนารมณ์ของทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมือใหม่ๆ ในด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการด้านการพัฒนาของทั้งสองประเทศ”
“Global Times” ขยายความให้เห็นภาพว่า “จีนมีความได้เปรียบทางเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีการบินและอวกาศ เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานสีเขียว ขณะที่ไทยกำลังส่งเสริมยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” อย่างแข็งขัน ทั้งสองฝ่ายมีขอบเขตความร่วมมือที่กว้างขวางในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและยกระดับ”
บทส่งท้ายจากรายงานของ “Global Times” สรุปว่า “การเสด็จฯ เยือนของพระมหากษัตริย์ไทยส่งสารที่ชัดเจนไปยังทั่วโลกว่า จีนคือ“เพื่อนบ้านที่ไม่หวั่นไหว” และเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาร่วมกัน แนวทางนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเคารพซึ่งกันและกัน และความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จะไม่เพียงแต่เขียนบทใหม่ให้กับโชคชะตาร่วมกันของจีนและไทยเท่านั้น แต่ยังมอบภูมิปัญญาตะวันออกที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วสำหรับปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ”
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี