วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในรอบสามปีที่ผ่านมา เอเชียใต้ได้เผชิญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่แทบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ตั้งแต่ศรีลังกาในปี 2022 บังกลาเทศในปี 2024 มาจนถึงเนปาลในปี 2025 สามประเทศที่มีบริบททางศาสนา ชาติพันธุ์ และประวัติศาสตร์ต่างกันอย่างสุดขั้ว กลับมี“จุดร่วมทางการเมือง” ที่เหมือนกันอย่างน่าประหลาด นั่นคือ การดำรงอยู่ของระบบอำนาจเก่าที่ผูกขาดประเทศมายาวนาน จนทำให้ความไม่พอใจในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก่อตัวเป็นภูเขาไฟที่พร้อมปะทุ เพียงรอแรงกระตุ้นสุดท้าย และแทบทุกกรณี แรงกระตุ้นนั้นคือ “คอร์รัปชัน” ที่ทำให้ผู้คนไม่อาจทนต่อไปได้อีก
หากมองลึกลงไป คอร์รัปชันในทั้งสามประเทศไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่ม แต่คือฐานคิดและโครงสร้างอำนาจที่ฝังรากอยู่ในระบบการเมืองแบบตระกูลการเมือง โดยเฉพาะในเนปาลซึ่งการเมืองถูกผูกขาดโดยสามพรรคใหญ่ตลอด 17 ปีหลังเป็นสาธารณรัฐ ทั้ง ٣ พรรคการเมืองได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 13 คน แต่ทั้งหมดล้วนมาจากกลุ่มเดิมๆ
และยังคงรักษาวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ผลประโยชน์ทับซ้อน และการใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างต่อเนื่อง เมื่อผนวกกับเศรษฐกิจที่ไม่สามารถสร้างงานคุณภาพ ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมหาศาลต้องออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนธรรมดาที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดกับลูกหลานของชนชั้นนำที่ใช้ชีวิตหรูหราตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย จึงกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของความโกรธที่กำลังก่อตัวขึ้นในประเทศ
ในศรีลังกา ความโกรธสะสมดังกล่าวปะทุในรูปแบบวิกฤตปากท้อง ขาดแคลนพลังงาน อาหาร และยารักษาโรค ซึ่งสะท้อนการบริหารประเทศอย่างผิดพลาดและคอร์รัปชันระดับโครงสร้างของตระกูลราชปักษา เมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกว่าระบบไม่อาจมอบปัจจัยพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตได้อีกต่อไป จึงไม่แปลกที่ผู้ประท้วงจะบุกทำเนียบประธานาธิบดีและบีบให้ผู้นำต้องลี้ภัย ต่างจากบังกลาเทศ ซึ่งความไม่พอใจปะทุจากความรู้สึกว่าการเมืองปิดตาย และชนชั้นนำปกป้องผลประโยชน์กันเอง ขณะที่ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นจนประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองไม่มีที่ยืนในระบบพลังของคนรุ่นใหม่จึงขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
เนปาลคือกรณีที่แสดงให้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ได้เด่นชัดที่สุด การลุกฮือเริ่มต้นจากการแบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์มโดยรัฐบาล ซึ่งเทียบได้กับการตัดช่องทางสื่อสาร การเรียน และการทำงานของคนรุ่นดิจิทัล แต่นี่เป็นเพียงชนวน สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือการบริหารประเทศที่ไร้เสถียรภาพ คอร์รัปชันในทุกระดับ และภาพชีวิตหรูหราของ “nepo kids” ลูกหลานนักการเมืองในโลกออนไลน์ที่ตรงข้ามกับชีวิตจริงของเยาวชนเนปาล การเสียชีวิตของนักเรียนมัธยมจากการใช้กำลังของรัฐในวันแรกของการประท้วงคือจุดแตกหักที่ทำให้มวลชนขยายจาก Gen Z ไปสู่ทุกเจเนอเรชั่น การเผารัฐสภา ศาลสูงสุด และทำเนียบประธานาธิบดีจึงไม่ใช่การมุ่งทำร้ายบุคคล แต่เป็นการทำลาย “สัญลักษณ์ของระบบที่พวกเขาไม่เชื่อถืออีกต่อไป”
ปัจจัยร่วมกันของสามประเทศคือ “ความชอบธรรมของชนชั้นนำได้หมดลงแล้ว” และผู้คน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่ยอมทนกับการคอร์รัปชันอีกต่อไป พวกเขาพบว่าการเลือกตั้ง ระบบราชการ และกลไกตรวจสอบไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงการประท้วง แต่คือการตัดสินใจ “โค่นระบอบเก่า”และเรียกร้องระบบใหม่ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มีอนาคตที่จับต้องได้มากกว่านี้
สุดท้าย บทเรียนจากสามประเทศนี้ส่งสัญญาณเตือนมาถึงไทยว่า หากการเมืองยังคงติดหล่มความไม่โปร่งใส ระบบอุปถัมภ์ และการใช้อำนาจเพื่อพวกพ้อง การพังทลายของ “ระบอบเก่า” อาจไม่ได้เกิดจากศัตรูภายนอก แต่อาจเกิดจากคนรุ่นใหม่ในประเทศเอง ที่เริ่มตั้งคำถามว่าพวกเขากำลังถูกขโมยอนาคตไปหรือไม่และระบอบการเมืองที่มีอยู่จะสร้างชีวิตที่ดีให้พวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน การเร่งสร้างระบอบการเมืองไร้คอร์รัปชันจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนของไทยเพื่อป้องกันไม่ให้เราถลำลึกไปถึงขั้น٣ ชาติเอเชียใต้
ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

ต้นตำหรับ! มวยไทยทะลุชิง15รุ่นซีเกมส์
‘ตำรวจภูเก็ต’รวบแก๊งลักรถจักรยานยนต์ พร้อมของกลาง นำส่งคืนเจ้าของ 4 คัน
เฮรวดสองนัด!กุนซือโต๊ะเล็กลั่นชนะทุกนัดเพื่อคว้าทอง
ด่วนที่สุด! ทหารไทยพลีชีพเพิ่ม 2 นาย ณ สมรภูมิเนิน 350 ยังไม่สามารถนำร่างออกจากพื้นที่ได้
‘ตม.ภูเก็ต’จับชายชาวคาซัคสถาน ติด‘หมายแดง’คดีฉ้อโกง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี