วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ตอนต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2493 ได้เกิดการสู้รบกันขึ้นในคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือซึ่งสนับสนุนโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ กับเกาหลีใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา ในที่สุดฝ่ายสหรัฐอเมริกาสามารถไปดึงเอาองค์การสหประชาชาติเข้ามาสนับสนุนได้ ดังนั้นเรื่องจึงมาถึงประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติด้วยประเทศหนึ่ง จึงปรากฏว่าในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี จอมพลป. พิบูลสงคราม ได้นำเรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎร ดังที่ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเอาไว้ว่า
“องค์การสหประชาชาติได้พิจารณาเรื่องนี้ โดยคณะมนตรีความมั่นคงได้มีคำสั่งว่า การที่เกาหลีเหนือได้ทำการโจมตีเกาหลีใต้นั้น เป็นการทำลายสันติภาพ ได้เรียกร้องให้เกาหลีเหนือ
หยุดยิง และให้ถอยกำลังทหารกลับไปที่เส้นขนานที่ 38 โดยพลัน แต่เกาหลีเหนือไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้แจ้งให้สมาชิกองค์การทราบ และได้ถามมาด้วยว่ารัฐบาลไทยอยู่ในฐานะที่ช่วยเหลือเกาหลีอย่างใดได้บ้าง”
ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ยังได้บันทึกไว้อีกว่านายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า
“รัฐบาลเห็นสมควรจะสนับสนุนมติของคณะมนตรีความมั่นคงอย่างหนักแน่น และพร้อมจะสนับสนุนการกระทำใดๆ ซึ่งสหประชาชาติเห็นสมควร และยินดีให้ความช่วยเหลือสงครามเกาหลีเท่าที่สามารถกระทำได้โดยที่ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรมก็ยินดีให้ความช่วยเหลือในทางอาหาร เช่น ข้าวเป็นต้น ถ้าเกาหลีต้องการ ตลอดจนการส่งกำลังทหารไปร่วมในเมื่อเกาหลีใต้ถูกรุกราน”
เนื้อความตอนสุดท้ายนั่นเองมีความสำคัญมาก แสดงว่าพร้อมจะส่งกำลังทหารไปร่วมรบ ต่อมารัฐบาลได้นำเรื่องนี้เข้าสภาฯ โดยนำเข้าวุฒิสภาด้วย สภาทั้งสองจึงรับทราบ ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา รัฐบาลได้นำเรื่องสงครามเกาหลีเข้าที่ประชุมรัฐสภาอีก อ้างความเห็นของสภาความมั่นคงไทยว่ารัฐบาลควรส่งกองกำลังทหารไปช่วยรบ ในครั้งนี้ได้มีการอภิปรายกันพอสมควร ทางฝ่ายรัฐบาลนอกจากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหมแล้ว สมาชิกสภาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านหลายคนก็ร่วมอภิปราย ฝ่ายรัฐบาลนั้นมีความเห็นว่าไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ และเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้สมาชิกช่วยกัน การที่เราเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติจึงต้องร่วมรับผิดชอบในสันติภาพโลก ไม่ใช่เพียงแต่จะรับประโยชน์โดยไม่ร่วมทำหน้าที่ ทั้งยังอ้างว่าสงครามเกาหลีเป็นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ดังนั้น ถ้าไม่ไปสกัดกั้นในวันนี้ก็ไม่แน่ว่าในวันหน้าภัยนี้จะมาถึงประเทศไทย
แต่ที่อภิปรายคัดค้าน ก็ให้เหตุผลว่าถ้าไทยเข้าไปร่วมในสงครามนี้ อาจจะนำความเสี่ยงมาสู่ประเทศได้ บ้างก็มีความเห็นว่าทหารไทยไม่ควรจะต้องเสี่ยงชีวิตในดินแดนที่ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของไทย และเราต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกมองว่าไปเลือกข้างในสงครามเย็นซึ่งอาจมีผลเสียมากกว่าผลได้ต่อประเทศไทย
ในที่สุดก็มีการลงมติและสภาผู้แทนราษฎรก็มีมติเห็นชอบให้รัฐบาลส่งทหารไทยไปช่วยองค์การสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ต่อมาในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2493 ไทยได้ส่งกองกำลังทหารเรือและทหารอากาศไปร่วมสงครามเกาหลีนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยได้มาขอต่อรัฐสภาที่จะส่งทหารไทยออกไปรบนอกประเทศ และที่น่าสังเกตก็คือสงครามเกาหลีที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ค.ศ. 1951 นั้นยังคงมีสถานะสงครามอยู่จนวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อตกลงสันติภาพ และทหารไทยก็ยังมีส่วนไปประจำอยู่ที่เกาหลีใต้ซึ่งในวันนี้น่าจะมีจำนวนไม่กี่คนแล้ว และก็ไม่ได้อยู่ที่ส่วนหน้าในการสู้รบแต่อย่างใด และยังเป็นที่เข้าใจว่าไม่ใช่เพียงแต่ทหารไทยเท่านั้นน่าจะมีทหารของประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติส่งไปร่วมรบในสงครามเกาหลีด้วย
นรนิติ เศรษฐบุตร

‘หัวหน้าพรรคปวงชนไทย’ประชุมจัดตั้งตัวแทนพรรค เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.จันทบุรี
‘โรงพักบ้านแท่น’ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกรูปแบบ ช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่2569
‘น่าน’สร้างความเชื่อมั่นปชช. ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม รับคริสต์มาส-ปีใหม่2569
‘นายกฯ’ยันรัฐบาล‘พูดแล้วทำ’ต่อต้านสแกมเมอร์ ลั่นทำไมต้องเลี้ยงดูคนพวกนี้ในประเทศเรา
เนิน 350 ไม่ใช่แค่สมรภูมิ แต่คือจุดชี้ขาดที่'กัมพูชา'กลัวเสียมากที่สุด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี