วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ประเทศไทยอยู่ในภาวะสงครามที่กำลังถูกแทรกแซงจากมหาอำนาจ ทำให้นายกรัฐมนตรีรักษาการนายอนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ระหว่างเขาควายที่ต้องชั่งใจเดินหน้ารบต่อไปเพื่อความปลอดภัยของลูกหลานไทยในอนาคตหรือหยุดแค่นี้เพื่อเอาใจประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่การปะทะรอบใหม่ย่างเข้าวันที่ 2 สื่อบ้านเราเสนอข่าวทรัมป์ เรียกร้องเชิงออกคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในปฏิญญาสันติภาพจอมปลอม ที่ ทรัมป์ เป็นสักขีพยานในการลงนามเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
สื่อไทยขยายความกัมพูชาปั่นกระแสว่า ทรัมป์พูดโทรศัพท์กับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายอนุทินนายกรัฐมนตรีไทยให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในปฏิญญาสันติภาพที่ทรัมป์จัดให้และขอให้สองฝ่ายหยุดยิงทันที
สื่อถามนายอนุทินว่าพูดโทรศัพท์กับทรัมป์หรือยัง นายอนุทินกล่าวว่า ระดับประธานาธิบดีทรัมป์โทรมาก็ต้องพูดกับท่าน แต่เราก็มีเหตุผลอธิบายในสิ่งที่ท่านเข้าไม่ถึงข้อเท็จจริง จับใจความไม่ได้ว่า พูดกันแล้วหรือยัง
พิเคราะห์จากคำถามและคำตอบอนุมานได้ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายสร้างกระแสประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งให้หยุดยิงและกลับไปปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมที่ลงนามโดยมีทรัมป์เป็นสักขีพยาน ที่น่าสนใจ คือ ฮุนเซน กับทรัมป์ มีนิสัยถาวรเหมือนกัน ตรงที่เชื่อในคำโกหกของตัวเอง ดังที่ฝรั่งพูดว่า “Believe in his own propaganda” คือโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตัวเองเชื่อที่โกหกทุกวันนั้นเรื่องจริง
มีนิทานเล่าว่า ชายผู้หนึ่งแบกแพะผ่านหมู่บ้านที่ชาวบ้านอยากได้แพะตัวนั้นเลยถามว่า “แบกหมามาจากไหน” เขาตอบว่าบ้าหรือไงเห็นแพะเป็นหมา ผ่านไปอีกหมู่บ้านก็ยินคำถามเช่นเดียวกันชักไม่แน่ใจว่า คนถามบ้าหรือคนแบกแพะบ้า ถึงหมู่บ้านที่สาม มีคนถามว่า “แบกหมาไปไหน” คนแบกทิ้งแพะลงจากบ่า เกิดความเชื่อตามที่หลายคนพูดว่าที่อยู่บนบ่าเป็นหมาจริงๆ
ประธานาธิบดีทรัมป์ คงหูเบาและวู่วาม เหมือนคนแบกแพะ ที่เชื่อคนพูดกรอกหู คือ ทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรเลยเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แต่เขาถูกนายอันวาร์กับฮุน มาเนต กรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ท่านเป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ผู้ฝักใฝ่สันติภาพที่สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหากท่านช่วยทำให้เกิดความสงบในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยิ่งเพิ่มบารมีท่านมากขึ้น
ทรัมป์ ผู้เชื่อในคำโกหกของตัวเอง ว่าทำให้เกิดสันติภาพแล้วทั้ง 8 ประเทศ ทั้งๆ ประเทศที่เขาอ้างปัจจุบันยังคงรบราฆ่าฟันกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศคองโกวันนี้ยังคงรบกัน ในขณะที่ทรัมป์อ้างว่า เขาจัดการให้ยุติความขัดแย้งในคองโกแล้ว ทรัมป์ พูดตอนหาเสียงว่า สงครามในยูเครนและกาซาต้องยุติภายใน 24 ชั่วโมง ที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ปัจจุบันอิสราเอลยังฆ่าชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาทุกวัน รัสเซีย-ยูเครน ยังคงรบกันและรุนแรงขึ้น มีทีท่าบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ทรัมป์ยังคงละเมอว่า “ข้าคือประธานาธิบดีผู้สร้างสันติภาพ”
ปฏิญญาสันติภาพประเทศคองโก ยูเครน กาซา ฉันใดปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชาก็ฉันนั้น และที่เลวร้ายกว่าคือสื่อตะวันตกรู้ว่า ทรัมป์เป็นคนหูเบาชอบฟังข่าวหวือหวาที่ดูเหมือนว่าเป็นผลงานของตน จึงไม่ประหลาดใจที่ไทย-กัมพูชาปะทะกันรอบใหม่สำนักข่าว CNN ถึงได้พาดหัวว่า
Thailand launches airstrikes on CambodiaTrum’s peace agreement hangs in balance “ประเทศไทยโจมตีกัมพูชาทางอากาศในขณะที่ข้อตกลงสันติภาพของทรัมป์ ตกอยู่ในความไม่แน่นอนหรือแขวนอยู่บนเส้นด้าย” ในเนื้อข่าวCNN ก็ให้รายละเอียดเหมือนสื่อไทยทั่วไป แต่จงใจพาดยั่วยุกิเลสทรัมป์ว่า “ไทยถล่มกัมพูชาทางอากาศทำให้สันติภาพของทรัมป์
ถูกทำลาย” CNN ตั้งใจยั่วให้ทรัมป์ เต้นแร้งเต้นกา เพื่อได้ขายข่าวฮือฮาหวือหวา
ด้านหนังสือพิมพ์เทเลกราฟของอังกฤษ พาดหัวตัวไม้ว่าChinese Missiles that broke Trump’s peace คือจงใจปั่นกระแสว่า “จรวดจีนคือตัวทำลายสันติภาพของทรัมป์” เทเลกราฟปั่นกระแสเกลียดชังจีนต่อไปว่า “กองทัพไทยกำลังเร่งรีบทำลายอาวุธจากปักกิ่ง ในขณะที่การสู้รบรอบใหม่ปะทุขึ้นแนวชายแดนกัมพูชา” แต่เทเลกราฟสรุปตอนท้ายว่า “ยังไม่ชัดเจนว่าฝ่ายไหนเป็นผู้เริ่มทำลายปฏิญญาสันติภาพที่เกิดจากความพยายามของทรัมป์”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งนายอันวาร์ ฮุน มาเนต และสื่อตะวันตกรู้ว่า ทรัมป์เป็นคนหูเบา หมกมุ่นกับโฆษณาชวนเชื่อของตัวเอง พวกเขาจึงพยายามเป่าหูและพาดหัวข่าวให้เข้ากับกิเลสทรัมป์เพื่อให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
แน่นอนเมื่อสื่อพาดหัวข่าวยั่ว และนายอันวาร์ กับ ฮุน มาเนตเป่าหูว่า ท่านคือประธานาธิบดีผู้นำแห่งสันติภาพ ทรัมป์ต้องแสดงอำนาจและอาจโทรฯมาหานายอนุทินในไม่ช้าไม่นาน
ทรัมป์ หูเบาวู่วามไม่สนใจพิธีการทูตที่ต้องประสานงานผ่านกระทรวงต่างประเทศก่อนเจรจาความเมือง ซึ่งต่างกับจีนที่มีวุฒิภาวะ แสดงความกังวลผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
เช่น กรณีไทย-กัมพูชา ปะทะชายแดนรอบใหม่
กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่าปักกิ่ง “หวังอย่างจริงใจ” ว่าทั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น และหันหน้าเข้าหากันกัวกล่าวเสริมว่า จีนจะยังคงดำเนินบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในวิถีทางของจีนเพื่อช่วยบรรเทาความตึงเครียดและสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น “วิถีทางของจีนคือ สั่งเบรกมาเลเซียให้หยุดแทรกแซง และปล่อยให้ไทย-กัมพูชาเคลียร์ปัญหากันเอง
จึงไม่แปลกใจที่นายอันวาร์เงียบไปหลังจากนายอนุทิน พูดว่า “ผ่านเวลาเจรจาไปแล้ว” และ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์เสนาธิการทหารบก ระบุถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังมีการปะทะเข้าสู่วันที่ 2 ว่า “เป้าหมาย คือ กองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา”
ในเวลาเดียวกัน โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า กองทัพอากาศพร้อมถล่มลึกเข้าไปในกัมพูชาได้ทุกเป้าหมาย ทุกพิกัดตำแหน่ง หากพิสูจน์ทราบว่า กัมพูชาจะใช้อาวุธร้ายแรงโจมตีลึกเข้ามาในแผ่นดินไทย
อาวุธร้ายแรงโจมตีลึกเข้ามาในแผ่นดินไทย โฆษกกองทัพอากาศคงหมายถึงจรวด PHL 03 ที่จีนมอบให้กัมพูชา และ ฮุนเซน คุยว่ามีพิสัยทำลายไกลถึง 130 กิโลเมตรที่คนไทยอยากให้ ฮุนเซน ใช้ เพื่อเป็นความชอบธรรมกองทัพอากาศไทยได้ใช้กริพเพน หรือ F-16 ไปปล่อยไข่ในพนมเปญ หรือ ตาขะเมารังตาเฒ่า ฮุนเซน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ข่าวสงครามเชื่อว่า กัมพูชาไม่ใช้ PHL03 ด้วยเหตุผลสองประการ 1.ยิงจรวด PHL03 เท่ากับเปิดประตูสู่นรกให้ทั้งประเทศกัมพูชา 2.กัมพูชาไม่มีปัญญายิง เพราะถ้าจะยิงระยะ 130 กิโลเมตร จะต้องใช้ระบบดาวเทียมของจีน เชื่อว่าจีนไม่ให้ใช้ดาวเทียม เพื่อยิงขีปนาวุธทำลายประเทศไทย
การปะทะกันตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม จึงจำกัดวงอยู่ในพื้นที่ชายแดนตั้งแต่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีจ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด และจุดปะทะสำคัญ จังหวัดพระวิหารอุดรเมียนเจีย ลงใต้ไปถึงจังหวัดโพธิสัตว์ของกัมพูชาตรงข้ามจังหวัดตราด
การสู้รบที่ผ่านมากองทัพไทยสามารถทำลายเครนยักษ์ใกล้ปราสาทพระวิหาร ทำลายคลังอาวุธในกรุงสำโรง ยึดคืนบ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านหนองจาน และสถาปนาความมั่นคงตลอดแนวชายแดน 817 กิโลเมตรได้ แต่ภารกิจยิ่งใหญ่กว่านั้นคือทำลายกองทัพกัมพูชาให้อยู่ในสภาพที่ไม่เป็นภัยต่อประเทศไทย ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายวันหรือนานเป็นเดือน
นายอนุทินจึงเหมือนอยู่ระหว่างเขาควายที่กองทัพโดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของคนไทยให้ปราบกัมพูชาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในเวลาเดียวกันก็มีแรงกดดันจากสหรัฐฯ เรียกร้องเชิงบังคับให้กลับสู่การเจรจาตามปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา
จึงขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยของไทยในระยาวไปถึงรุ่นเหลนกับการกระทำตามความต้องการของทรัมป์ สิ่งไหนคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่กว่า
สุทิน วรรณบวร

กทม.จับมือ สปสช.จัดคาราวานตรวจสุขภาพฟรี 21 ธ.ค.นี้ ให้กลุ่มเปราะบางชุมชนกีบหมู
หมิว สิริลภัส เล่าอุทาหรณ์ เกือบเสียแม่เพราะสแกมเมอร์หลอกสูญ1.2ล้าน
'พระราชินี'ทอดพระเนตรการแข่งขันกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง รอบชิงชนะเลิศ ประเภททีมชาย ระหว่างไทย-อินโดนีเซีย
‘อภิสิทธิ์’ปลื้ม! คนไทยตอบรับ‘ประเทศไทยจะไม่ทน’ล้นหลาม
'ศุลกากรภาคที่ 2'ยึด'กระเป๋า-รองเท้าละเมิดเครื่องหมายการค้า-ไวน์'มูลค่าความเสียหายกว่า 65 ล้าน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี