อีกประเด็นหนึ่งของคอมเม็นต์ คือ “รู้สึกประหลาดใจกับคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของการอภิวัฒน์2475 หรือนี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรีดีเคยกล่าวไว้ว่า เป็นขบวนการโต้อภิวัฒน์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม?”
ผมบอกตามตรงว่าผมไม่เห็นคุณค่าของการอภิวัฒน์หรือปฏิวัติของคณะราษฎร เพราะผมเห็นว่ามันเป็นการปล้นชิงและเป็นอาชญากรรม เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อราษฎร เพราะมุ่งหน้าแต่แย่งชิงอำนาจกันเอง พยายามกำจัดฝ่ายตรงข้ามและกำจัดคนในฝ่ายเดียวกัน จึงมีคนถูกฆ่า ถูกทรมาน ถูกขังคุก ถูกกระทำย่ำยีจิตใจและกาย และถูกเนรเทศอีกมากมาย ทั้งในฝ่ายคณะราษฎรด้วยกันและในฝ่ายตรงข้าม เพื่อบูชายัญการอภิวัฒน์ฯ
การที่ผมไม่เห็นคุณค่าของการอภิวัฒน์เช่นเดียวคนอีกจำนวนมากนั้น แล้วผู้คอมเม็นต์กล่าวว่า “เป็นสิ่งที่อาจารย์ปรีดีเคยกล่าวไว้ว่า เป็นขบวนการโต้อภิวัฒน์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม?”
ผมก็ขอตอบว่า..ดร.ปรีดีก็เหมือนกับพวกมาร์กซิสต์ทั้งหลายนั่นแหละ ทั้งพวกมือถือสากปากคาบคัมภีร์ พวกซ้ายไร้เดียงสา และพวกท่องอาขยานลัทธิมาร์กซ์ คือ “อมน้ำลายมาร์กซ์ – เลนินมาพ่น” ทั้งนั้น
ถ้อยคำนี้มันเป็นการสร้างความชอบธรรมแบบจอมปลอมว่าพวกตนเป็นฝ่ายถูกต้อง – กระทำถูกต้อง(อภิวัฒน์..ที่มีแต่การเข่นฆ่าในฝ่ายเดียวกันเองและฝ่ายตรงข้าม) ทั้งยังเป็นยันต์ปกป้องการกระทำของตัวเอง และเป็นการชี้หน้าด่ากราดคนอื่นไม่ให้คัดค้าน – ต่อต้านตน
เรามาดูกันว่า “ใครคือพวกโต้การอภิวัฒน์ของคณะราษฎร?”
พวกคณะราษฎรนั้น โดยเฉพาะ ดร.ปรีดี..แม้จะตั้งใจเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อให้ราษฎรอยู่ดีมีสุขหรือที่เรียกว่าเป็นคนมีอุดมการณ์ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงมโนภาพหรือการนึกคิดเอาเอง แต่ “จิตสำนึกที่แท้” นั้นต้องดูที่การกระทำ
หมายความว่า ความคิดหรืออุดมการณ์นั้นเป็นอย่างหนึ่ง ใครก็คิด ก็พูดได้ มโนเอาเองเหมือนคนในยุคนี้ก็ได้ แต่จิตสำนึกอาจไม่มีหรือไม่ “เป็น” เนื้อเดียวกับอุดมการณ์
เพราะอะไร?
ประการแรก..การปฏิวัติเป็นความคิดของคนกลุ่มเดียว คิดกันเองทำกันเอง ไม่มีราษฎรหรือมวลชนร่วมรู้เห็นด้วยเลย
ประการที่ 2.. วิธีการปฏิวัติก็ไม่แตกต่างจากการปล้นชิงอำนาจกันในสมัยก่อนหน้าพวกตนขึ้นไป อย่างในสมัยอยุธยา เป็นต้น พูดด้วยภาษามาร์กซิสต์ก็คือ ไม่มีฐานมวลชน ห่างเหินมวลชน ทอดทิ้งมวลชน แปลกแยกกับมวลชน คิดเองทำเองทั้งนั้น
ประการที่ 3 เมื่อปฏิวัติสำเร็จแล้ว ก็เกิดการขัดแย้งกันทางความคิดในกลุ่มคณะราษฎร เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน ทำลายล้างกันเอง พร้อมกับทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามไปด้วย ซึ่งที่แล้วก็ไม่มีใครมีจิตสำนึกแห่งอุดมการณ์หรอก มีแต่พวกเผด็จอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นใหญ่กันทั้งนั้น
การที่จะเรียกใครว่า “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” หรือ “ฝ่ายก้าวหน้า” นั้นไม่ใช่ดูที่เปลือก หรือดูที่การเลือกฝ่าย แต่ต้องดูที่ “คุณสมบัติของจิตสำนึก” ที่มันสำแดงออกด้วยการคิดและการกระทำ
ที่ผมกล่าวมา 3 ประการนั้นก็ล้วนแต่เป็น “จิตสำนึกอนุรักษ์นิยมล้าหลัง” ทั้งนั้น เพราะไม่มีสาระอะไรใหม่เลยตลอดช่วงเวลา 25 ปีของฝ่ายตน ไร้วิสัยทัศน์ ไร้มนุษยธรรม เป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี ที่แปะยี่ห้อให้ตัวเองที่หน้าผากว่า “ก้าวหน้า” เท่านั้น ซ้ำการกระทำกลับวนอ้อมไปอยู่ทางด้านหลังของฝ่ายตรงข้ามที่ถูกเรียกว่าอนุรักษ์นิยมเสียอีก
ดังนั้น “พวกโต้อภิวัฒน์ฝ่ายอนุรักษนิยม” ก็คือพวกคณะราษฎรเอง
ตลอดประวัติศาสตร์การเมือง - การปกครองไทย ยังไม่มี “ฝ่ายก้าวหน้า” ที่เป็นรูปธรรมเลย มีแต่พวกคิดเองเออเองว่าตัวเองก้าวหน้า แล้ววางโตคุยโวโอ้อวดเท่านั้น
การอภิวัฒน์ของคณะราษฎรในช่วงเวลา 25 ปีนั้น..ประเทศไทยได้อะไรบ้าง?
คำตอบก็แรก..คือ ได้ถ้อยคำใหม่ เช่น อภิวัฒน์ ปฏิวัติ รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย ซึ่งก็ล้วนถูกประดิดประดอยขึ้นมาเพื่อเป็นเสื้อคลุมปกปิดศพและกระทำอันอัปลักษณ์และล้มเหลวของฝ่ายตนเท่านั้น (แต่กลิ่นศพก็คละคลุ้งลอยข้ามศตวรรษมาจนวันนี้ ซ้ำส่งกลิ่นแรงขึ้นทุกวัน) ต่อมาก็ถูกพวกทรราช พวกนักเลือกตั้ง แม้กระทั่งพวกเผด็จการนำมาใช้ในลักษณะเดียวกัน
คำตอบที่ 2 คือ ได้สร้าง “วิถีแห่งการปล้นชิงอำนาจ” ขึ้นในประเทศไทย เห็นได้จากเมื่อหมดยุคของคณะราษฎรแล้ว ก็ยังมีการปล้นชิงอำนาจกันในหมู่ทหารเรื่อยมาอีก 40 ปี จนถึงวัน “ปฏิวัติโดยประชาชน” เมื่อ 14 ต.ค. 2516 แต่ก็ยังไม่จบ ยังมีการปฏิวัติรัฐประหารต่อมาอีกหลายครั้งสลับกับการเลือกตั้ง...จนกระทั่งในทุกวันนี้
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมหาศาลคิดว่า หากไม่มีการปล้นชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์เมื่อ พ.ศ. 2475 เส้นทางการเมืองไทยอาจไม่ต้องเจ็บปวดและสูญเสียผู้คนจำนวนมากขนาดนั้น และไม่ต้องสูญเสียเวลาที่จะพัฒนาการเมืองไปเกือบศตวรรษ
ในฐานะที่ ดร.ปรีดี เป็นมาร์กซิสต์ รวมทั้งพวกพ้องก็ทำงานอยู่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ก็น่าจะเป็น “คู่วิภาษวิธี” ในการต่อรอง กดดัน นำเสนอ หรือวิธีไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเข่นฆ่าทำลายล้างกัน (ปฏิรูป)เพื่อให้สังคมไทยพัฒนาไปอย่างได้ประโยชน์ มากกว่าการเลือกวิธีแบบอนุรักษนิยมล้าหลัง คือการปล้นชิง
แต่ผมก็เข้าใจดีว่าพวก “ก้าวหน้า” นั้นปักใจเชื่อตามตำรามาร์กซิสม์แล้วว่าต้องปฏิวัติเท่านั้น ถ้าประนีประนอมหรือปฏิรูปมันก็ไม่ใช่ฝ่ายก้าวหน้า – ฝ่ายปฏิวัติน่ะสิ
วันนี้..โลกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการปฏิวัติของพวกมาร์ซิสต์หรือพวกไหนๆก็ตามที่ใช้กำลังอาวุธเข้าประหัตประหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันล้วนแต่มีจุดจบเหมือนกันทุกประเทศ ทุกคณะ คือเมื่อฝ่ายตนชนะก็หันมาแย่งชิงอำนาจประหัตประหารกันเอง
ผมจึงไม่เห็นคุณค่าของคณะราษฎร ส่วนใครจะเห็นคุณค่าก็แล้วรสนิยมของแต่ละคน ผมว่า..บางทีหากมีคนในครอบครัวของคนที่เห็นคุณค่าได้ถูกเข่นฆ่าทำลายล้างไปด้วย พวกเขาอาจจะเห็นคุณค่ามันมากขึ้นก็ได้...ในฐานะที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อการอภิวัฒน์!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี