สถานการณ์เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์สงบลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะบารมีตาทรัมป์แต่อย่างใด แต่เพราะบารมีราหูต่างหากที่ปีนี้อยากเดินทางมาเที่ยวอเมริกา แล้วจัดโชว์ให้มะริกันทั้งชาติดูแบบจัดหนักจัดเต็ม ภาษาวัยรุ่นบ้านเราคงต้องบอกว่าเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ด้วยการแสดงชุดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง ซึ่งปรากฎในรอบ 99 ปี เล่นเอามะริกันฮือฮา ลืมด่าทอชั่วขณะ หันมาไล่ล่าแว่นดูสุริยุปราคากันจ้าละหวั่น แต่แว่นขาดตลาด เพราะฝ่ายผลิตคิดไม่ถึงว่าผู้คนจะสนใจมากขนาดนี้ ขนาดดิฉันพยายามหาซื้อตามร้านที่ประกาศว่ามีจำหน่ายก่อนหน้าวันสุริยุปราคา 5 วัน ก็ยังหาไม่ได้เลย ทางร้านบอกว่าหมดเกลี้ยงตั้งแต่ชั่วโมงแรก แว่นราคาอันละ 2 ดอลลาร์หรือ 70 บาทจึงพุ่งทะลุ 100 ดอลล์หรือสามพันห้าร้อยหรือแพงกว่านั้นในตลาดมืด สุดท้ายดิฉันก็ต้องซื้อแว่นในตลาดมืดเหมือนกัน โดยถูกโก่งราคาไป 10 เท่าตัว จากอันละ 2 ดอลลาร์ พี่ก็ขายตั้ง 20 ดอลลาร์ นี่คือวิธีที่ง่ายสุดแล้วในการดูสุริยุปราคาหนนี้
เมืองที่ดิฉันอยู่สามารถมองเห็นได้แค่ 90 เปอร์เซนต์ แต่เมืองที่อยู่ในเขตพาดผ่านสามารถมองเห็นได้แบบเต็มดวง เพื่อนเล่าว่า ชาวเมืองหัวใสขอค่าปักเต็นท์ 300 ดอลลาร์หรือหนึ่งหมื่นห้าร้อยบาท ประธานาธิบดีผมเป๋ก็พาลูกเมียมายืนชมสุริยคราสบนระเบียงทำเนียบขาวด้วยเช่นกัน แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ลุงทำเปรี้ยวแหงนหน้ามองฟ้าโดยไม่สวมแว่นกรองแสง จนผู้ช่วยต้องร้องเตือนว่า “อย่ามอง!”
ทุกคนแช่มชื่นยืนตะลึงจ้องจนอิ่มใจ ส่วนพวกฉวยโอกาสก็นับเงินเพลิดเพลิน ว่ากันไม่ได้เพราะบูชาทุนนิยมสมบูรณ์แบบ พอเงาราหูหายไปแล้วก็หันมาด่าตาทรัมป์ต่ออย่างอึงคะนึง เพราะลุงก่อเรื่องอีกแล้ว หนนี้ไปป่วนทหารทำนองแกว่งปากหาของแข็ง ลุงลงนามบันทึกข้อความสั่งให้กองทัพงดรับชายและหญิงข้ามเพศเป็นทหาร พูดง่ายๆ คือ ห้ามเพศที่สามไม่ว่าจะเป็นกะเทย เกย์ ทอม ดี้ มาเป็นทหารนั่นเอง เหมือนจงใจตบหน้าโครงการเปิดกว้างทางเพศของโอบาม่าที่เริ่มต้นเอาไว้ แน่นอนว่ากลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศ (LBGT) ออกมาประณามนโยบายนี้อย่างรุนแรง
ควันหลงจากเหตุการณ์เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ ทำให้คณะกรรมการว่าด้วยการกำจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Committee on the Elimination of Racial Discrimination) ออกแถลงการณ์เตือนลุงแซม เพราะการขยายตัวการชุมนุมเหยียดผิวในบ้านลุงแซมนั่นแหละ คณะกรรมการยูเอ็นชุดนี้เรียกร้องให้วอชิงตัน ตลอดจนนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงปฏิเสธและประณามการพูดเหยียดผิวด้วยความเกลียดชังอย่างเด็ดขาดและไม่มีข้อแม้
“เราเป็นกังวลเกี่ยวกับการชุมนุมเหยียดผิวที่มีการใช้สโลแกน การโห่ร้อง และการสดุดีเชิงเหยียดผิวอย่างเปิดเผยโดยกลุ่มชาตินิยมผิวขาว นีโอนาซี และคู คลักซ์ แคลน ที่สนับสนุนความเป็นใหญ่ของคนผิวขาวและกระตุ้นการเลือกปฏิบัติและความเกลียดชังทางเชื้อชาติ”
อเมริกาเคยให้สัตยาบันในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการกำจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ ในปี ค.ศ.1994 แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ยูเอ็นต้องส่งสัญญาณเตือนอีกครั้ง การเตือนลักษณะนี้จะมีออกมาเรื่อยๆ และหนนี้เป็นหนที่ 7 แตกต่างกันตรงที่ทุกครั้งที่ผ่านมา คำเตือนส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับประเทศที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาในโลกที่สาม เช่น บุรุนดี ไนจีเรีย อิรัก และไอวอรี โคสต์ แต่หนนี้พี่เบิ้มอย่างอเมริกาทำเสียเอง ยูเอ็นเลยต้องยื่นมือมาสะกิดกันแผ่วๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลอะไรเลย เพราะยางอายไม่มีมานานแล้ว
เมื่อวานนี้เอง ลุงทรัมป์ผมเป๋ได้ประกาศให้อภัยโทษ โจ อาร์ไพโอ อดีตนายอำเภอของเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา วัย 85 ที่เป็นหัวตะแนนและสนับสนุนลุงทรัมป์อย่างออกนอกหน้า ซึ่งลุงโจ อาร์ไพโอมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติการจับกุมคุมขังผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ศาลมีกำหนดจะตัดสินบทลงโทษในเดือนตุลาคม แต่การได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีทำให้ไม่ต้องรับโทษ
นอกจากการล้วงลูกฝ่ายยุติธรรมแล้ว นายอำเภอรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องเหยียดผิว โดยเฉพาะพวกเม็กซิกันอย่างที่สุด รัฐแอริโซน่ามีพรมแดนติดประเทศเม็กซิโก เหล่าพี่เม็กจึงแอบลอดรั้วเข้าเมืองมาทุกวัน ไม่หวั่นแม้ทะเลทรายจะขวางกั้น ทุกครั้งที่จับได้ ลุงโจก็จะสั่งให้คนซ้อมเม็กซิกันอย่างทารุณ เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ลับที่รู้กันทั้งประเทศ
ล่าสุดอยากเล่าประสบการณ์ตรงในเรื่องการเหยียดสีผิวที่พบด้วยตัวเองสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้เอง ในคอลัมน์ “แก้ผ้าลุงแซม” นี้ ดิฉันเขียนถึงอคติสีผิวไว้หลายหนมาก เพราะเรื่องอคติระหว่างสีผิวและเชื้อชาติมีอยู่จริง อย่าเชื่อหนังฮอลลีวู้ดเพราะนั่นคือภาพลวงตา จะมีแต่นักวิชาการไทยบนหอคอยงาช้างเท่านั้นที่หลงละเมอคิดว่าเรื่องนี้หมดไปจากอเมริกาแล้ว จากนั้นก็เชยชมขี้อเมริกันว่าหอมกว่าขี้คนชาติอื่น ถึงขั้นด่าทอแผ่นดินเกิดตัวเองต่างๆนานา
ดิฉันอยู่อเมริกามา 14 ปี ถือว่าเป็นคนไทยรุ่นหลังๆที่มาอยู่อเมริกา แต่พอมองออกว่าอคติสีผิวมีอยู่จริงในปัจจุบันเพียงแต่ถูกกดไว้ใต้กฎหมายให้กลัวเท่านั้นเอง นับตั้งแต่ทรัมป์นั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาวก็เห็นได้ว่าเหมือนปลุกผีกลุ่มคูคลักแคลนซ์ นีโอนาซี และกลุ่ม White Supremacy ที่เรียกตัวเองว่าอัศวินขาวโผล่มาแสดงพลังประท้วงที่นั่นที่นี่สร้างเรื่องเดือดร้อนไม่หยุด แถมทรัมป์ยังให้ท้ายอย่างเห็นได้ชัด
คนไทยในอเมริกาหลายคนคุยกับดิฉันว่าสายตาคนผิวขาวบางคนเริ่มไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เรื่องนี้ดิฉันเห็นด้วย เพราะเคยเจอการเหยียดผิวแบบระดับอ่อนๆ บางหนแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นการเหยียดผิวปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตา
เมื่อวานดิฉันไปซื้ออาหารสดในซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้าน สังเกตเห็นหญิงเม็กซิกันกับลูกสามคนที่ซนเป็นลิง เด็กวิ่งเล่นกันในห้างแล้วส่งเสียงดัง ไม่มีใครสนใจอะไรนักเพราะถือว่าเป็นธรรมชาติของเด็ก อยู่ๆ หญิงผิวขาววัยประมาณ 70 ตะโกนใส่หญิงเม็กซิกันคนนั้น เสียงตะโกนทำให้ทุกคนได้ยินกันทั่วจนต้องหันไปมอง
"กลับไปประเทศของแกเลยนะ"
หญิงเม็กซิกันอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วโต้กลับด้วยสำเนียงอเมริกันชัดเจนว่า
"จะให้กลับไปไหนล่ะ..ฉันเกิดที่นี่..เกิดและโตในเมืองนี้"
ป้าผิวขาวไม่ยอมแพ้ตะโกนกลับไปว่า
"ฉันจะไปเรียกผู้จัดการมา"
พออ่านข่าวทรัมป์ประกาศให้อภัยโทษอดีตนายอำเภอ โจ อาร์ไพโอ ทั้งๆ ที่นายอำเภอคนนั้นลงโทษชาวเม็กซิกันอย่างทารุณ ถึงกับเงียบงันในหัวใจอย่างยากจะหาถ้อยคำใดมาบรรยายได้ครบถ้วน เพราะไม่รู้ว่าจากนี้ไปจะต้องเจอความชิงชังในรูปแบบใดบ้างในบ้านแห่งที่สองนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี