หลายคนงวยงงสงสัยว่า ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณฟื้นฟูสัมพันธ์ไมตรีเป็นญาติดีกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ทำไมกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ยังประเมินความพยายามแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยคงอยู่ในเทียร์ 2 ถูกจับตามองตลอดเวลา แต่ถ้าพิจารณาด้วยความเข้าใจ จะรู้สึกได้ว่า ไทย-อเมริกาฟื้นฟูความสัมพันธ์บนพื้นฐานความจำใจที่ลื่นไหลไปตามเหตุการณ์
การประเมินผลงานต่อสู้การค้ามนุษย์ เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่อเมริกาใช้ขู่กรรโชกทางเศรษฐกิจการค้า หาได้มีมาตรฐานคุณธรรมหรือความเที่ยงตรงใดๆ ไม่สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากรายงานที่เปิดเผยออกมาพบว่า ประเทศที่ถูกจัดอยู่ในเทียร์ 2 ต้องเฝ้าจับตามองหรือเทียร์ 3 คือเลวร้ายที่สุด ล้วนเป็นคู่กรณีที่เป็นผู้ร้ายในสายตาอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน รัสเซีย ฯลฯ ในกลุ่ม 23 ประเทศที่ถูกชี้หน้าว่า สถานการณ์ค้ามนุษย์สุดเลวร้าย
นายเร็ก ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวว่า จีน ถูกจัดอยู่ในอันดับเลวร้าย เพราะบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์และส่งชาวเกาหลีเหนือกลับบ้าน โดยไม่คำนึงว่าผู้ถูกส่งกลับอาจถูกสังหารหรือไม่ ส่วนเกาหลีเหนือ อยู่อันดับเลวร้าย เพราะเชื่อว่า ประชาชน 50,000-80,000 ราย ถูกบังคับใช้แรงงาน สหรัฐฯโกรธที่จีนส่งชาวเกาหลีเหนือกลับ เพราะสหรัฐฯเป็นผู้ปลุกปั่นให้คนเหล่านั้นแปรพักตร์ไปอยู่ในเกาหลีใต้ หรือไม่ก็ไปอเมริกา ส่วนประเด็นอุยกูร์ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะสหรัฐฯ คือผู้สนับสนุนให้มุสลิมอุยกูร์ขบถก่อเหตุร้ายในมณฑลซินเจียง
พม่า ที่ยังมีปัญหาขายบริการทางเพศและใช้แรงงานเด็ก ตลอดถึงการกดขี่ชาติพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งโรฮีนจา ทำให้หนีตายไปบังกลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 100,000 ราย แต่สหรัฐฯดีจนใจหายยกระดับให้พม่ามาอยู่ในเทียร์ 2 ระนาบเดียวกับไทยในขณะที่สหรัฐฯชี้หน้าด่า จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ ไทย ฯลฯ กลับไปมองข้ามปัญหาค้ามนุษย์อันเลวสุดในยุโรป และอเมริกา
หลายปีที่ผ่านมาการค้ามนุษย์ ที่เลวร้ายสุดๆ เกิดในประเทศยุโรปและอเมริกา ที่ผู้ลี้ภัยมากกว่า 10 ล้านรายต้องหนีจากสงครามในเอเชีย ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา แสวงหาที่อยู่ใหม่ในยุโรป ผู้อพยพนับล้านๆ คนหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาได้ เพราะการจัดให้ของนักค้ามนุษย์จากประเทศยุโรปและอเมริกา ดังมีรายงานจากองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพว่า มีผู้อพยพที่เป็นเด็กประมาณ 20,000 ราย ที่ลงทะเบียนไว้ ได้หายไปจากค่ายพักพิงชั่วคราว และผลสอบสวนพบว่า ผู้อพยพเด็กกว่า 20,000 ราย ถูกกลุ่มมาเฟียลักลอบนำไปบังคับใช้แรงงานและขายบริการทางเพศ ในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี ฯลฯ แต่ประเทศเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในกลุ่มเลวร้ายในรายงานการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสหรัฐฯจัดให้ประเทศไทยอยู่อันดับไหน ก็ไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ที่มีสัญญาณดีขึ้นทุกด้าน ทั้งการเมือง การค้าและการทหาร ทางด้านการเมืองตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิรูปการทำงานในทำเนียบขาว ห้ามไม่ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ออกจากงานไปแล้วไม่เกินห้าปี รับจ้างทำหน้าที่ล็อบบี้ยิสต์ วิ่งเต้นเสนองาน เป่าหูปลุกปั่นในทำเนียบขาว มองผิวเผินเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทย แต่พอมาตรการนี้บังคับใช้ กลายเป็นผลดีกับประเทศไทย
มาตรการไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่พ้นหน้าที่ไปแล้วไม่เกินห้าปี เข้ามาวิ่งเต้นเป็นล็อบบี้ยิสต์ในทำเนียบขาว เท่ากับตัดมือตัดตีน ปิดเส้นทางหากินของคู่แข่งการเมืองที่วิ่งเต้นหากินในทำเนียบขาว ในสภาตลอดเวลา 8 ปี ของรัฐบาลบารัค โอบามา และบังเอิญการปิดทางหากินนี้กลายเป็นผลดีกับประเทศไทย ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายคือ ในสมัยนายโอบามา ล็อบบี้ยิสต์/บริษัทประชาสัมพันธ์รับจ้าง ทำงานให้ทุนสามานย์จากประเทศไทย ไปวิ่งเต้นกับทำเนียบขาวในรัฐสภา ตลอดถึงสื่อในสังกัด ให้สร้างกระแสส่งเสริมสนับสนุนฝ่ายทุนสามานย์ ในเวลาเดียวกัน ให้สร้างกระแสบีบคั้น ทำลายฝ่ายตรงข้าม
หลายปีที่ผ่านมา เราถึงได้เห็นการใส่ร้ายป้ายสี โจมตีสถาบัน โจมตีรัฐบาลทหารไทย จากหลายกลุ่มหลายฝ่าย ในอเมริกา และประเทศอียู นักการเมือง นักเคลื่อนไหวจากตะวันตกและอเมริกา เรียกร้องกดดันให้รัฐบาลไทยคืนประชาธิปไตย ให้รีบจัดการเลือกตั้ง กล่าวหาว่ารัฐบาลทหารละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ในเวลาเดียวกันล็อบบี้ยิสต์พวกนั้น ก็วิ่งเต้นให้สื่อในสังกัดสนับสนุนมวลชนของทุนสามานย์ โดยการบิดเบือนว่า พวกล้มเจ้า นักวิชาการแดง และพวกต่อต้านรัฐบาลทหาร คือฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตย
แต่หลังจากนายทรัมป์ออกมาตรการขับนักวิ่งเต้นพวกนี้ออกไป ความสัมพันธ์ของล็อบบี้ยิสต์ กับทุนสามานย์ไทยก็ขาดสะบั้น การวิ่งเต้นช่วยเป่าหูนักการเมือง ทำเนียบขาว ให้ช่วยฝ่ายทุนสามานย์ก็หยุดชะงัก จึงไม่แปลกใจที่เห็นคนร้องไห้คร่ำครวญเหมือนไร้สติปัญญา ถ้าพิจารณาอย่างถ้วนถี่ นี่คือผลดีที่ตกกับประเทศไทย โดยไม่ตั้งใจของนายทรัมป์
ด้านการค้า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯออกรายงานอย่างไร ก็ไม่มีผลให้ความสัมพันธ์การค้าเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมาซึ่งสหรัฐฯเคยคว่ำบาตรการค้ากับประเทศไทย วันนี้อเมริกาเปิดมุมมองใหม่ทางการค้า ดังที่ประธานสภาการค้าอเมริกา-อาเซียน Mr.Alecander Feldmen กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดมุมมองใหม่ให้โอกาสพัฒนาการลงทุน การค้าสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลทหารไทย”
ประธานสภาการค้าอเมริกา-อาเซียนกล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังจากเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อกลางเดือนมิ.ย. ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เล็งเห็นว่า กลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสี่ของสหรัฐอเมริกา และประเทศไทยมีฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน ประธานาธิบดีทรัมป์จึงบอกว่าต้องเปิดมุมมองใหม่ให้โอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้า อเมริกา-ไทย”
ความสัมพันธ์ทางทหาร พิจารณาจากความจริงพบว่า ยุคนายทรัมป์ อเมริกาใช้ทหารนำหน้าการเมืองในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารไทย ตั้งแต่นายทรัมป์เป็นรัฐบาล กองทัพอเมริกันส่งนายทหารระดับสูงมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทยทุกด้าน ทั้งความมั่นคงการเมืองและการค้าด้านความมั่นคง ขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่า อเมริกายังคงคว่ำบาตรกองทัพไทยที่ไหนได้สหรัฐฯลักไก่ขายอาวุธให้กองทัพไทยมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ดังที่ Melissa Sweeney โฆษกสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยบอกกับข่าวสดออนไลน์ภาษาอังกฤษว่า วุฒิสภาสหรัฐอนุมัติขายยุทธภัณฑ์ให้กองทัพไทยในมูลค่า 380 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13,000 ล้านบาท)ยุทธภัณฑ์ที่ว่าคือ เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก 4 ลำ และขีปนาวุธฮาร์พูน 2
กองทัพบกกล่าวว่า เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk 4 ลำ นำมาเสริมทางยุทธวิธี 1 ฝูงบิน จำนวน 16 ลำ เพื่อใช้เคลื่อนย้าย กำลังทหารราบทางอากาศ 1 กองร้อยไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ เพิ่มจากที่ ทบ.มีเข้าประจำการแล้ว 12 ลำ แต่ในส่วนฮาร์พูน 2 ซึ่งเป็นระบบขีปนาวุธนำวิถีพื้นสู่พื้น และอากาศสู่พื้น โจมตีเรือรบผิวน้ำในระยะขอบฟ้าทุกสภาพอากาศ ยังไม่มีรายละเอียดทั้งจากอเมริกาและไทย ว่าซื้อขายจำนวนและราคาเท่าไหร่
ความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้น ถึงขั้นขายขีปนาวุธมีสมรรถนะสูงให้ ทำเอานักวิชาการเสื้อแดงนายวิโรจน์ อาลี ที่เคยเอาปี๊บคลุมหัวประท้วง คสช.ถึงกับทอดอาลัยกับ นายประวิทย์ โรจนฤกษ์ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลทหารไทยว่า “ผมเชื่อว่า การขายอาวุธสมรรถภาพสูงให้กองทัพไทย เป็นสัญญาณบอกว่ารัฐบาลวอชิงตันพัฒนาความสัมพันธ์เป็นปกติกับรัฐบาลทหารไทย ผมได้แต่หวัง 50-50 ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ละทิ้งการช่วยเหลือขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย”
นายวิโรจน์ เหมือนกับฝ่ายต่อต้าน คสช.และคนเสื้อแดงทั่วไป ที่ฝังใจว่า สหรัฐฯต้องสนับสนุนฝ่ายตัวเองซึ่งอ้างว่าเป็นเสรีประชาธิปไตย และรับไม่ได้เมื่อเห็นนายทรัมป์คบค้ารัฐบาลทหารไทยที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง ถ้ามีใจเป็นธรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลต้องเข้าใจว่าเพราะเหตุการณ์พาไปทำให้อเมริกาต้องบากหน้ามาพึ่งรัฐบาลทหารไทย เพราะหันไปหันมาพบว่า ในภูมิภาคนี้คนส่วนใหญ่หันไปคบจีน
ประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่เคยเห็นประเทศไทยอยู่ในเรดาร์ แต่หลังประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา นายทรัมป์พบความจริงว่า สมาชิกประชาคมอาเซียนไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว พม่า กัมพูชา ต่างหันหลังให้อเมริกา หันหน้าไปซบหน้าจีนแผ่นดินใหญ่ ยามนี้ถ้าไม่พึ่งไทยแล้ว จะมีกิ่งไหนให้อินทรีหัวเน่าซอน มีคอนไหนให้เกาะ เพราะเหตุนี้จึงบอกว่า ไทย-อเมริกัน เป็นความสัมพันธ์จำใจที่ลื่นไหลไปตามเหตุการณ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี