ในการไปประชุมกลุ่มประเทศ BRICS ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เมืองเซียะเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน เมื่อสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนนี้ ได้เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก
เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศซึ่งไม่ใช่เป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS และเป็น 1 ใน 10 ประเทศอาเซียนที่ได้รับเชิญ ซึ่งเป็นนัยสำคัญ
ที่บอกกล่าวแก่ชาวโลกให้ต้องจับตามองสนใจ
การไปประชุมครั้งนี้ นอกจากพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าประชุมร่วมคณะใหญ่ของผู้นำกลุ่ม BRICS แล้ว ยังได้ประชุมทวิภาคีหรือประชุมสองฝ่ายกับผู้นำจีน รัสเซีย และบราซิลด้วย ถือเป็นความสำเร็จในการดำเนินวิเทโศบายของราชอาณาจักรไทยครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์
ทำให้ใครบางคนต้องอิจฉาตาร้อนและถึงแม้กลุ่มมวลชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบั่นทอนการแก้ไขปัญหาชาติของรัฐบาลจะโหมกระหน่ำโจมตีสักเท่าใดก็ไม่อาจลบเลือนกระแสแห่งสัจจะที่ปรากฏไปทั่วโลกได้
เป็นการปรากฏตัวและเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ของทุกทวีปของโลก เป็นกลุ่มประเทศที่มีประชากรรวมกันมากที่สุดในโลก มีพลังทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก และมีแสนยานุภาพเกรียงไกรมากที่สุดในโลกด้วย
จึงเป็นที่คาดหวังได้ว่าหลังกลับจากประชุมครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยได้ทราบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงใหญ่ของโลก และน่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในระยะเวลาจากนี้ไปด้วย
จะได้ปลุกบรรดาผู้ลุ่มหลงอดีตที่ยังลุ่มหลงแบบไม่ลืมหูลืมตา และกำลังก่อความผิดพลาดใหญ่หลวงให้กับชาติบ้านเมือง ได้ลุกตื่นขึ้น เพื่อร่วมกันทำให้ประเทศไทยของเราได้ก้าวรุดหน้าไปโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้น เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักรไทย
ในการไปประชุมกลุ่ม BRICS ครั้งนี้จำเป็นที่จะต้องตั้งข้อสังเกตเพื่อให้ได้ตั้งสติกันสองเรื่อง
เรื่องแรก การกล่าวถึงนโยบายประเทศไทย 4.0 แทบไม่ได้รับความสนใจจากชาติใดๆเลย และมีเสียงกระซิบกระซาบด้วยว่าผู้นำกลุ่ม BRICS ได้ยินเรื่องนี้แล้วก็พากันอมยิ้ม เพราะอย่างน้อยในประเทศกลุ่ม BRICS นั้น ได้แก่ รัสเซีย จีน อินเดีย ล้วนแต่เป็นประเทศที่ล้ำหน้ากว่าสิ่งที่เรียกว่า 4.0 ไปมากมาย โดยเฉพาะรัสเซียนั้นเป็นต้นฉบับต้นแบบของหลักคิดในการแบ่งยุคสมัย การพัฒนาเป็นเวอร์ชั่นแบบระบบคอมพิวเตอร์ คือ 1.0, 2.0, 3.0 และ 4.0 โดยถือเอาปัจจัยการผลิตสำคัญคือถ่านหิน น้ำมัน และดิจิทอลเป็นการแบ่งยุค
และมาถึงวันนี้เขาไปกันไกลแล้ว ไปไกลถึงขั้นที่เชื่อมต่อวิทยาศาสตร์กายภาพกับเทคโนโลยีขั้นสูงสุด ดังเช่นการใช้คลื่นสมองในการสั่งการสมองกลหรือเครื่องจักร หรือระบบสารสนเทศต่างๆ โดยไม่ต้องมีเส้นสายหรือคลื่นอื่นในการเชื่อมต่ออีกต่อไปแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่ควรตั้งสติยั้งคิดกัน เพราะถ้าเราก้าวล้ำไปกว่าความเป็นจริงของเราเองก็ดี หรือก้าวไปในสิ่งที่เราไม่มี ไม่รู้และไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ดี ก็จะก่อเกิดจุดอ่อนและความไม่มั่นใจในการขับเคลื่อนนั้น ซึ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ประกอบในการขับเคลื่อน ไม่ว่าภาครัฐหรือธุรกิจ ซึ่งก็เห็นๆ กันอยู่
เรื่องที่สอง คำเชิญชวนให้มาลงทุนที่ EEC คือพื้นที่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ไม่มีเสียงขานรับจากกลุ่ม BRICS ซึ่งสาเหตุสำคัญคือชาวโลกเขารู้ทั่วกันแล้วว่า EEC ของประเทศไทยนั้นถูกจับจองโดยนักธุรกิจญี่ปุ่น ราวกับเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นไปแล้ว หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง! และอาจเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจที่คับแคบ คือมีประชากรเกี่ยวข้องอย่างมากก็แค่ 17 ล้านคนเท่านั้น
ดังนั้นจึงสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของผู้บริหาร AIIB หรือธนาคารเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ที่แสดงความห่วงใยว่าจะเป็นการลงทุนที่เกินกำลังของประเทศไทยที่จะตัดรอนการพัฒนาด้านอื่นๆ และพื้นที่อื่นๆ ของประเทศจนหมดสิ้น และได้ผลไม่คุ้มค่า
สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่ว่า ประเทศไทยเหลือช่องว่างที่จะสามารถกู้ยืมเงินได้เพียงร้อยละ 20 ของ GDP หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาทเท่านั้น ก็จะเต็มเพดานสูงสุด หากทุ่มเงิน 2 ล้านล้านบาท ไปที่ EEC แล้ว กิจการอื่นๆทั่วประเทศ และพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ก็จะไม่สามารถพัฒนาในเรื่องอื่นๆ และพื้นที่อื่นๆได้อีกต่อไป ที่สำคัญคือการทุ่มเงินเพื่อพัฒนาสามจังหวัดนี้เพื่อประชาชาติไทยทั้งผอง หรือเพื่อใครกันแน่?
เสียงจิ้งจกตุ๊กแกทักยังต้องฟัง นี่เป็นเสียงสถาบันการเงินที่มีพลังทางการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเขาตั้งความห่วงใยมา แล้วจะไม่ฟังกันบ้างหรืออย่างไร!
นั่นเป็นสองเรื่องที่ควรได้ตั้งสติยั้งคิดกันว่าเป็นจริงดังที่มีการตั้งข้อสังเกตไว้หรือไม่? อย่าได้ถือว่านี่เป็นการคัดค้านแบบไร้เหตุผลหรือด้วยความประสงค์ร้าย อันเป็นวิสัยของผู้มีอำนาจกันเลย ขอให้มองกันด้วยแง่ดีและเจตนาดีก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่มีการท้วงติงนั้น
มีเรื่องอีกสองเรื่องที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์แห่งชาติโดยตรง และเกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศชาติโดยตรงด้วย
เรื่องแรก เป็นการหารือร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ผู้นำจีน ซึ่งประธานสี จิ้น ผิง ได้กล่าวชนิดที่ต้องคิดให้ลึก นั่นคือคำกล่าวที่ว่าจีนเคารพต่อเส้นทางพัฒนาของประเทศไทยที่ไทยเห็นว่าสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย แต่จีนก็หวังว่าประเทศไทยจะร่วมมือกันกับนานาชาติในการเข้าร่วมพัฒนาตามโครงการเส้นทางสายไหม ซึ่งนานาชาติกำลังขับเคลื่อนกันอย่างคึกคักบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน
คำพูดแบบจีนนี้ต้องแปลเป็นไทย และแปลได้ว่าไม่ว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปทางไหน จะส่งผลประการใดก็เป็นเรื่องของประเทศไทย ซึ่งจีนจะให้ความเคารพไม่ยุ่งเกี่ยวแทรกแซง ซึ่งที่ร่วมมือรถไฟไทย-จีนนั้น จีนย่อมรู้เป็นอันดีว่าเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้น
เพราะจากข้อตกลงทำรถไฟสามสายทางมูลค่าเกือบ 700,000 ล้านบาทใช้เวลาเจรจากันสามปีก็ยังไม่ไปถึงไหน มีการลงนามในสัญญากันในครั้งนี้ก็เป็นแค่สัญญาจ้างออกแบบและควบคุมงานวงเงินแค่ 3,000 ล้านบาทเศษเท่านั้น
จีนจึงตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะเข้าร่วมพัฒนาโครงการเส้นทางสายไหมเช่นเดียวกับนานาชาติที่กำลังขับเคลื่อนกันอย่างคึกคักเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของมวลมนุษย์
ความอันเจรจากันนี้ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เพราะดูกระบวนท่าที่ร่ายรำเรื่องเพลงรถไฟแล้ว ให้หวั่นใจว่าจะไม่ราบรื่น
เรียบร้อยดังที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยเจรจาหารือกับผู้นำจีนเอาไว้
ก็คอยดูกันต่อไปว่าเมื่อใดจะลงมือก่อสร้างได้ เพราะถ้าเอาเรื่องกำหนดเวลาก่อสร้างมาเรียงกันดูก็เลื่อนมาไม่น้อยกว่า 7 ครั้งแล้ว
เรื่องที่สอง คือคำเชิญชวนของประธานสี จิ้น ผิง ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังว่าจีนตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะร่วมมือในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ร่วมกันของอนุภูมิภาคนี้ และนายกรัฐมนตรีได้ตอบรับคำเชิญนี้อย่างแข็งขันด้วย
ความจริงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงนั้น ประกอบด้วยประเทศ 6 ประเทศ คือ จีน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา โดยประเทศจีนตั้งอยู่ต้นน้ำ ไทย พม่า อยู่คอน้ำ ลาวและเวียดนามอยู่กลางน้ำ ส่วนกัมพูชาอยู่ปลายน้ำ โดยกระแสน้ำไหลจากจีนลงมาที่กัมพูชาและออกสู่ทะเล
ประชากรของ 6 ประเทศนี้มีจำนวนถึง 2,200 ล้านคน เป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและมีพลังมากที่สุดของเอเชียอาคเนย์ โดยได้มีการจัดตั้งกลุ่มสมาชิกลุ่มแม่น้ำโขงขึ้นเรียบร้อยมานานแล้ว และล่าสุดผู้นำของ 6 ประเทศภาคีสมาชิกก็ได้ทำความตกลงร่วมกันที่จะพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ยกระดับให้เป็นแม่น้ำแห่งการท่องเที่ยวและการค้าขาย ตลอดจนการลงทุนของประชากร 2,200 ล้านคน มากกว่าประชากรที่เชื่อมต่อกับ EEC กว่า 150 เท่า
ที่สำคัญ ประเทศไทยได้เปรียบประเทศอื่นมาก เพราะเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคและอยู่ใกล้ชิดส่วนกลางที่สุดของลุ่มแม่น้ำโขง มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงยาวมาก และพื้นที่ประเทศไทยก็ได้พัฒนาแล้ว มีความพร้อมที่จะขยายตัวทุกด้าน
ทว่าน่าเสียดายนัก เราเป็นประเทศเดียวที่บิดพลิ้วไม่ทำตามข้อตกลงที่ลงนามกันไว้ล่าสุด และยังปล่อยให้เอ็นจีโอลิ่วล้อต่างชาติเคลื่อนไหวคัดค้าน จึงทำให้ประเทศไทยถูกตัดขาดออกจากการพัฒนา ซึ่งหากการพัฒนาสิ้นสุดลงเมื่อใด ประเทศไทยก็จะตกหล่นและยากจะเข้าร่วมการพัฒนาได้อีกต่อไป
เรื่องดีๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องรีบทำ และต้องมอบหมายผู้ที่มีความปรีชาสามารถรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองให้ทำการเรื่องนี้จึงจะสำเร็จ มิฉะนั้นก็ได้แต่จะใช้เรือหางยาววิ่งข้ามแม่น้ำโขงและต้องอาศัยจมูกประเทศอื่นในการค้าขายดังที่เป็นอยู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี