เรื่องของ EEC ที่โหมประโคมข่าวจัดอีเว้นท์กันไม่หยุดเพื่อเชิญชวนให้เข้าใจว่าเป็นโครงการสำคัญที่อำนวยประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติ จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของโลก และจะทำให้ประเทศไทยรุ่งเรืองยิ่งใหญ่กว่าใครในโลกนี้ อาจทำให้หลายคนเคลิบเคลิ้มและฝันหาว่าจะเป็นความจริงเมื่อใด
ล่าสุดนักธุรกิจญี่ปุ่น 600 คน ซึ่งจะเป็นนักธุรกิจจากกี่บริษัทและบริษัทใดบ้างก็ไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ที่แน่ชัดก็คือทั้งหมดนั้นยังไม่มีใครตกลงใจลงทุน เพราะสื่อทุกสำนักรายงานข่าวตรงกันว่าเป็นขั้นตอนที่ระบุว่า “สนใจ” และ “เตรียมการ” เพื่อพิจารณา ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกหัวก้อยประการใด
แต่ที่แน่ชัดแล้วก็คือ มีเรื่องคาวฉาวโฉ่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสายและเป็นเรื่องราวใหญ่ๆ ทั้งนั้น แต่ละเรื่องมีขนาดของวงเงินใกล้เคียงกับโครงการรับจำนำข้าว และถ้ารวมทุกเรื่องเข้าด้วยกันก็จะเป็นวงเงินมากกว่าและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งชาติมากกว่าโครงการรับจำนำข้าวหลายเท่านัก
สื่อมวลชนได้นำเสนอเรื่องราวเหล่านี้กันเป็นระยะๆ แต่ที่คึกคักครึกโครมก็คือการแจ้งข่าวคราวกันในไลน์กลุ่มและโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะไลน์กลุ่มและโซเชียลมีเดียของกลุ่มคนที่นิยมในระบอบทักษิณ ซึ่งอย่าได้คิดว่าเป็นความเกลียดชังและไร้ข้อเท็จจริงเสมอไป หากเป็นเรื่องที่ต้องเงี่ยหูฟังเช่นเดียวกัน เพราะนั่นก็คืออาการจ้องเอาคืน ในทำนอง “ดาบนั้นคืนสนอง” ในสักวันหนึ่ง
แต่ก็ดูเหมือนว่า คสช. โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้พยายามติดตามและตรวจสอบแต่ละเรื่องแต่ละราวอย่างน่าสนใจ และถ้าเรื่องใดพบความพิรุธหรือเห็นว่าอาจเกิดความเสียหายขึ้นก็จะมีคำสั่งให้ทบทวนหรือระงับยับยั้ง ดังนั้นจึงยังไม่ควรที่จะตัดสินชี้ขาดไปเสียทีเดียวว่ารัฐบาลนี้ก็โกงไม่ต่างกับรัฐบาลนักการเมือง ดังที่โหมกันอยู่ในขณะนี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโครงการ EEC ที่ดังสนั่นลั่นเมืองอยู่ในขณะนี้ก็คือการอนุมัติให้จัดซื้อกระแสไฟฟ้าจากสามโรงงานในเขมรในราคาสูงลิ่ว คือยูนิตละ 10.75 บาท และยังต้องเดินสาย
ส่งเข้าไปยังโรงงาน ซึ่งต้องใช้เงินอีก 100,000 ล้านบาท และจะต้องมีการซื้อน้ำจากเขมรอีกปีละ 300 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้ในโครงการ EEC คือในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทราด้ว
ข่าวระบุอีกว่า โรงงานไฟฟ้าดังกล่าวเป็นโรงงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ขนาด 24 เมกะวัตต์ จึงมีแนวโน้มว่าจะไม่พอใช้ ดังนั้นจึงมีแผนที่จะซื้อจากอีกสองโรงไฟฟ้าแถบสีหนุวิลล์ ตอนใต้สุดของเขมร และจะต้องเดินสายส่งอีกต่างหากมูลค่าราวๆ 100,000 ล้านบาท ด้วย
ทว่าบ้านเมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง บรรดาผู้คนในกิจการไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและมีบทบาทสำคัญยิ่งเรื่องไฟฟ้า เมื่อทราบเรื่อง ก็ไม่อาจทนเห็นการกระทำเช่นนี้ได้
เป็นเหตุให้ข้อมูลมากหลายในเรื่องนี้แพร่ออกสู่โซเชียลมีเดีย ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และผู้คนในวงการต่างๆ จึงเป็นเหตุให้ปรากฏเรื่องขึ้นให้คนทั้งหลายได้รู้กัน และได้ยินไปถึงรัฐบาล และในที่สุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้มอบหมายให้ทีมงานตรวจสอบเรื่องนี้
และแล้วนายกรัฐมนตรีก็มีคำสั่งให้ระงับเรื่องและให้ทบทวนโครงการนี้
จึงมีความเป็นไปได้ว่าบรรดาข้อมูลข่าวสารจากพนักงานรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของชาติที่รักชาติและชิงชังการโกงชาติได้ส่งไปถึงมือของผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลด้วย
ปรากฏจากรายงานข่าวทั้งสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียตรงกันว่า
ประการแรกประเทศไทยซื้อไฟฟ้าจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากประเทศลาว และราคาซื้อก็จะอยู่ที่ประมาณยูนิตละ 1.75-3 บาทเท่านั้น โดยราคาเฉลี่ยจะตกประมาณ 2 บาท ดังนั้นการที่จะไปซื้อไฟฟ้าเขมรถึงยูนิตละ 10.75 บาท จึงไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกจากการโกงชาติที่น่าอเนจอนาถที่สุด
ดังนั้นในไลน์กลุ่มบางพวกจึงเหยียดหยามว่า นี่คือการโกงที่โง่ที่สุด
ประการที่สอง จะซื้อไฟฟ้าทั้งทีทำไมไม่ให้ผู้ขายเดินสายส่งมาที่ชายแดนประเทศไทย? และถ้าหากจะซื้อกันจริงก็ควรจะเดินสายส่งจากประเทศไทยไปเชื่อมต่อที่ชายแดนเท่านั้น ก็จะลงทุนค่าสายส่งไม่มากนัก ไฉนเล่าจะต้องไปตกลงเดินสายส่งลึกเข้าไปในประเทศเขมร ซึ่งจะต้องลงทุนถึง 100,000 ล้านบาท ดังนั้นที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไซฟ่อนเงินของรัฐวิสาหกิจยักษ์จึงไม่ผิดความจริงเท่าใดนัก
ประการที่สาม การซื้อไฟฟ้าจากโรงงานขนาดเล็ก 24 เมกะวัตต์ เพียงพอหรือไม่ต่อการใช้ก็ไม่รู้ แต่เมื่อประกอบกับตั้งท่าว่าจะต้องซื้อจากแหล่งผลิตที่สีหนุวิลล์อีกสองโรง และต้องเดินสายส่งให้อีก 100,000 ล้านบาท ก็ย่อมเข้าใจได้ว่าไม่พอใช้ จึงกลายเป็นว่าต้องเสียค่าเดินสายส่งไปยังสองแหล่งโดยไม่ใช่หน้าที่ด้วยวงเงินสูงถึง 200,000 ล้านบาท และไม่รู้จะใช้ได้ถาวรมีเสถียรภาพแค่ไหน
ประการที่สี่ ถ้าไม่มีแหล่งกระแสไฟฟ้าที่อื่น ก็อาจจะพอมีเหตุผลต้องพิจารณาต่อรองให้ดี แต่ปรากฏว่าขณะนี้ลาวผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากล้นเกิน และผู้นำลาวก็ร้องขอให้ไทยช่วยซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมชนิดไม่จำกัดจำนวน โดยลาวมีไฟฟ้าจะขายได้มากกว่าโรงไฟฟ้าที่จะซื้อจากเขมรหลายสิบเท่า ในราคายูนิตละประมาณ 2.50 บาท โดยไม่ต้องเดินสายส่งให้เสียเงินถึง 200,000 ล้านบาท อีกด้วย
เมื่อนายกรัฐมนตรีสั่งทบทวนเรื่องนี้ ก็ยังต้องคอยติดตามดูว่าทบทวนแล้วยังคงยืนยันการซื้อหรือว่ายกเลิก? แต่ประชาชนอาจจะใจชื้นตรงที่มีกระแสข่าวว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศยืนยันว่าประเทศไทยมีกระแสไฟฟ้าพอใช้สำหรับ EEC และยังสามารถจัดหาจากแหล่งผลิตเดิมได้ไม่ขัดสน
ก็ยังต้องติดตามดูกันต่อไป เพราะตราบใดที่ขบวนการชงเรื่องยังผงาดอยู่ในอำนาจ ประเทศไทยก็มีความเสี่ยงภัยอยู่ตราบนั้น!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี