ช่วงนี้ งานเข้าอากาศยาน ในข้อกล่าวหาว่า ผลาญเงินแผ่นดิน?
ล่าสุด นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า กรณีกองทัพบกปลดประจำการเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท สตง.กำลังจะเข้าไปตรวจสอบข้อมูล โดยเฉพาะการติดตามประเมินผลการใช้งานที่ผ่านมาว่า คุ้มค่ากับงบประมาณแผ่นดินที่นำมาใช้ในการจัดซื้อหรือไม่? เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานราชการ ในการจัดทำโครงการลักษณะนี้ในอนาคตต่อไป หรือหากพบข้อสังเกตหรือความผิดปกติอะไรเพิ่มเติมก็จะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปตรวจสอบต่อ
1. เท่าที่จับประเด็นได้ การตรวจสอบเรือเหาะของ สตง. จะมีสองประเด็นใหญ่
ประเด็นแรก ตรวจสอบความคุ้มค่า ตั้งแต่เริ่มจัดซื้อ เข้าประจำการ ปฏิบัติงาน มาจนถึงปลดประจำการ ว่ามีความคุ้มค่าแค่ไหน อย่างไร?
ประเด็นที่สอง หากพบความผิดปกติ เช่น การส่อทุจริต หรือความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อ จัดจ้าง หรือการดูแลรักษา ก็จะนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสอบทุจริตต่อไปด้วย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ สตง.จะเข้ามาตรวจสอบเรือเหาะตอนนี้ เพราะเรือเหาะที่ว่าเพิ่งจะปลดประจำการอย่างเป็นทางการ สมควรที่ต้องถูกตรวจสอบประเมินผลความคุ้มค่าของการใช้เงินแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้างมาก
แต่ขอย้ำฝากว่า หากพบกระบวนการในขั้นตอนใด ส่อทุจริต หรือมีพิรุธ ก็ควรจะเปิดเผยรายงานประชาชน และชี้ปมทุจริตให้หน่วยงานที่มีอำนาจในการสอบสวนเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สังคมจะได้ข้อกระจ่างเสียที เพราะที่ผ่านมา ไม่มีการประเมินความคุ้มค่าของการใช้เงินที่จับต้องได้เลย ฝ่ายที่โจมตีก็มีแต่ข้อมูลประเภท “เขาว่า” หรือ “ข่าววงในบอกว่า” แต่หลังจากนี้ จะได้ชัดเจนอย่างเป็นทางการว่า เรือเหาะที่ว่านี้ มันเหาะกี่ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน แต่ละปี จนถึงปลดประจำการ มันคุ้มหรือไม่คุ้ม มันเกิดจากจุดไหนกันแน่?
2. โฆษกกองทัพบก พันเอกวินธัย สุวารี อุตส่าห์ออกมาให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมา ภาพรวมของระบบมีเพียงตัวเรือเหาะที่มีปัญหาขลุกขลักบ้างในระยะแรกๆ และเคยมีการชำรุดหนักเนื่องจากการลงจอดฉุกเฉินรุนแรงด้วยสภาพอากาศแปรปรวน เมื่อช่วงปลายปี’54 แต่ได้ดำเนินการซ่อมจนสามารถกลับมาใช้งานได้
โดยตัวเรือเหาะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่แตกต่างจากเครื่องบิน หรือยูเอวี คือ มีความเงียบ และสามารถลอยตัวได้นาน และด้วยวัสดุทำตัวเรือเหาะที่มีลักษณะเป็นผ้าใบ จึงอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของอายุการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเจอสภาพอากาศร้อนชื้น
โฆษกกองทัพบกได้อธิบายอย่างเป็นทางการว่า โครงการระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะและอากาศยาน มีองค์ประกอบหลักของระบบโครงการอยู่ 2 รายการ ใช้วงเงินรวมราว 340 ล้านบาท
รายการแรก คือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะ ใช้วงเงิน 209 ล้านบาท มีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน คือ ส่วนตัวเรือเหาะ ใช้วงเงินจัดหา 66.8 ล้านบาท ระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 2 ชุด พร้อมระบบควบคุมและส่งสัญญาณ วงเงิน 87 ล้านบาท ระบบสถานีรับสัญญาณ แบบสถานีประจำที่ และสถานีเคลื่อนที่ด้วยรถหุ้มเกราะ วงเงิน 40 ล้านบาท และโรงเก็บเรือเหาะและอุปกรณ์บริภัณฑ์ภาคพื้น วงเงิน 9 ล้านบาท
รายการที่สอง คือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยอากาศยาน ใช้วงเงิน 131 ล้านบาท มีระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 3 ชุด พร้อมระบบควบคุมและส่งสัญญาณ 3 ชุด เพื่อใช้ติดตั้งกับอากาศยานที่มีอยู่แล้วในอัตราปกติของกองทัพบก
โฆษกฯ ยืนยันว่า หากงดใช้เรือเหาะในภารกิจของระบบตรวจการณ์และติดตามเป้าหมายแล้ว ตัวระบบหลักที่เหลือมีสัดส่วนอีก 80% ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช้งานได้ โดยอาจเน้นไปใช้ระบบตรวจการณ์และติดตามเป้าหมายโดยทางอากาศยานเป็นหลัก
การตรวจสอบที่จะมีขึ้นโดยหน่วยงานนอกกองทัพบก ควรจะมีรายละเอียดเชิงลึกมากกว่านี้ โดยเฉพาะประเด็นความคุ้มค่าของโครงการ และมีการส่อทุจริตหรือไม่?
3. ไหนๆ จะตรวจสอบอากาศยานว่าผลาญงบหรือไม่? ทุจริตกันหรือไม่แล้ว? ก็ขอฝากย้ำไปอีกเรื่องหนึ่งด้วย ซึ่งมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบก่อนหน้านี้เสียอีก
ปลดระวางไปก่อนเรือเหาะแล้วด้วย
และที่สำคัญ มีมูลค่าความเสียหายมหาศาลกว่าอีกด้วย
นั่นคือ เครื่องบินแอร์บัสของการบินไทย ที่จอดกึ่งๆ ซาก อยู่ที่อู่ตะเภา
ในโลกออนไลน์ ถึงขนาดตัดแต่งภาพป้ายมาปักโชว์หรา
สื่อว่าเป็นสุสานเครื่องบิน เป็นมรดกบาปที่รอการตรวจสอบอยู่จนถึงวันนี้
เครื่องแอร์บัส เอ 340-500 และแอร์บัส เอ 340-600 จอดรอขายที่อยู่สนามบินอู่ตะเภา
รวมแล้ว 10 ลำ (ขายไปก่อนหน้านี้ 1 ลำ เหลือสุทธิ 9 ลำ)
ยังขายไม่ออกจนถึงวันนี้
จะนำไปบินอีก ก็จะขาดทุนกว่าจอดทิ้ง เพราะต้องมีการลงทุนอีกกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องบินให้ใช้งานได้
ซื้อมาตั้งแต่ยุคทักษิณเรืองอำนาจ จะมีปัจจัยจากค่าคอมมิชชั่นในการจัดซื้อ 5% หรือไม่? ขณะนั้นมีเสียงทักท้วง แต่ยังดึงดันจัดซื้อ ผลักดันโดยฝ่ายการเมืองยุคนั้น แล้วบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ-นิวยอร์ก ไม่นาน ก็ยุติ เพราะขาดทุนเละเทะ ต้องจอดยาวมาจนถึงวันนี้
ยอดความเสียหาย ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท
ต้นเรื่องสามารถตรวจย้อนกลับไปได้ ที่มติคณะรัฐมนตรี 5 สิงหาคม 2546 อนุมัติให้การบินไทยซื้อเครื่องบิน A340-500 จำนวน 3 ลำและ A340-600 จำนวน 4 ลำ และเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2547 ก่อนรัฐบาลทักษิณ 1 หมดวาระลงไม่นาน อนุมัติให้ซื้อ A340-500 จำนวน 1 ลำ และ และ A340-600 จำนวน 1 ลำ ตามแผนรัฐวิสาหกิจ 2548-2550
จากนั้นต้นปี 2548 รัฐบาลทักษิณ 2 เข้ารับตำแหน่ง ได้มีการผลักดันเส้นทางบินตรงนิวยอร์ก จนเปิดเที่ยวบินแรกสำเร็จเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2548 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นขาดทุน แม้จะมีเสียงทักท้วงจากพนักงานฝ่ายบริหาร แต่ก็ไม่อาจต้านแรงผลักดันจากฝ่ายการเมืองได้
สุดท้าย ก็ขาดทุนย่อยยับ
ควรจะต้องเข้าไปตรวจสอบความเสียหายกรณีนี้ด้วย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี