ปัญหาความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปรปักษ์อย่างร้ายแรงระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยยืดเยื้อเรื้อรังมาช้านาน นับถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 12 ปีเศษ กล่าวได้ว่า ครบรอบนักษัตรแล้ว ถึงกาลเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว
ดังนั้นผู้ที่หลงผิดติดยึดและที่มีส่วนในการก่อกรรมทำเข็ญให้กับชาติบ้านเมืองจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติเป็นเวลาช้านานก็ถึงการที่จะต้องทบทวนเพื่อถอนตัวออกมา หรือหยุดยั้งการก่อกรรมทำเข็ญให้กับประเทศชาติได้แล้ว
โดยพึงถือว่าการที่ขบวนการแดงล้มเจ้าและขบวนรัฐไทยใหม่ ที่มีข่าวว่าตั้งหลักปักฐานอยู่ในดินแดนของประเทศลาว ได้เรียกร้องให้สมัครพรรคพวกช่วยกันป่วนงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นจุดชี้ขาด และเป็นจุดแบ่ง
และต้องถือว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการสิ้นสุดความเป็นคนไทย เป็นการประกาศตัวเป็นกบฏทรยศชาติและเป็นอริราชศัตรูอย่างชัดเจน ไม่มีทางที่จะปรองดองหรือให้อภัยกันได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นใครเกี่ยวข้องหรืออยู่ในขบวนการก็ต้องถือว่าเป็นอริราชศัตรู เป็นกบฏ และเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศต้องถือว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย เป็นศัตรู เป็นปรปักษ์ ที่ให้อภัยแก่กันไม่ได้อีกแล้ว
ก่อนการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 ประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวต่อสู้กับระบอบการเมืองเผด็จการทุนสามานย์ด้วยความวีระกล้าหาญ และถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายทารุณ จนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเมื่อมีการยึดอำนาจเกิดขึ้น จึงได้รับการแซ่ซ้องสาธุการจากมหาชน จนเป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่วโลกที่ประชาชนนำช่อดอกไม้และอาหารไปแสดงความยินดีขอบใจเหล่าทหารที่ออกมายึดอำนาจ
ประชาชนตั้งความหวังว่าเภทภัยทั้งหลายในบ้านเมืองจะได้รับการแก้ไขให้หมดสิ้นไป และฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีความจำเริญรุ่งเรืองในราชอาณาจักรนี้ เพื่อยังสันติภาพและสันติสุขให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองซึ่งเป็นความปรารถนาร่วมกัน
แต่เกิดความหลงผิด ผิดพลาดเกิดขึ้นในคณะผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ถึงสองประการคือ
ประการแรก หลงผิดคิดว่าการยึดอำนาจนั้นเป็นการยึดอำนาจเพื่อการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะต้องทำอย่างเร่งรีบให้เสร็จภายใน 1 ปี ดังนั้นจึงไม่ทันที่จะได้แก้ไขปัญหาใดๆ ในบ้านเมืองที่หมักหมมต่อเนื่องมาหลายปี ก็มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
ซึ่งการเลือกตั้งแบบนั้นก็คือการคืนอำนาจให้นักการเมืองหน้าเก่า แบบเก่า คณะเก่า ที่เป็นผู้ก่อกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองนั่นเอง และแล้วประเทศชาติก็กลับเข้าสู่ปัญหาเดิม
ประการที่สอง เกิดความหลงผิดคิดว่าเมื่อมีการยึดอำนาจแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นไปแล้ว จึงมีการเสนอความคิดเรื่องสมานฉันท์บ้าง ปรองดองบ้าง กันเป็นการใหญ่ โดยรากเหง้าของปัญหาอันเป็นเหตุให้มีการยึดอำนาจไม่ได้ถูกกำราบปราบปรามเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นการหลอกหลอนที่มีบทเรียนล้ำค่าที่สุดของการยึดอำนาจ เพราะผลที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวสมานฉันท์ปรองดองดังกล่าวก็คือการเลี้ยงไข้และบ่มเพาะเชื้อมหันตภัยแบบเดิมให้กับบ้านเมืองนั่นเอง
การเมืองที่เป็นเรื่องของคน 500 คนที่เรียกว่าคนในซึ่งเป็นพรรคเก่า คนเก่า ความคิดเก่า และรูปแบบเก่า คือมุ่งมั่นแต่แสวงหาอำนาจเพื่อตนและครอบครัว ไม่เคยมีความคิดอ่านใดๆ ที่จะกอบกู้ฟื้นฟูประเทศชาติ ให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นในโลก ไม่มีความคิดใดๆ ที่จะบำรุงอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุข
ดังนั้นเมื่อการเลือกตั้งคือการคืนอำนาจให้แก่คนพวกนั้น สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็ฟื้นกลับคืนมาในทันที การโกงบ้านกินเมือง การกดขี่ข่มเหงข้าราชการและประชาชน การทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจจนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ และการไม่นำพาต่อประเทศชาติและราษฎรก็ดำเนินต่อไปอย่างกว้างขวางใหญ่โต
จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง จึงมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ และรัฐบาลผสมที่จัดตั้งขึ้นใหม่นั้นก็เป็นแค่การจัดตั้งใหม่ แต่แท้จริงก็เป็นเรื่องของคนใน 500 คนอย่างเดิม ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์กลียุคและมิคสัญญีขึ้นในบ้านเมือง คือเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และสังหารโหดทหารและประชาชนจำนวนมาก แม้กระทั่งล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนซึ่งทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิของชาติอย่างยับเยิน
แม้กระทั่งหัวหน้ารัฐบาลก็ถูกไล่ทุบตี ไล่ติดตามประหัตประหารราวกับเป็นหมูเป็นหมาก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเมืองเรื่องของคนใน คือนักการเมือง 500 คนนั้น ให้ผลอย่างไรกับบ้านเมือง ดังนั้นเมื่อมีการยุบสภาและเลือกตั้งครั้งใหม่ อำนาจรัฐก็กลับคืนไปสู่ระบอบทักษิณเหมือนเดิม
การโกงบ้านกินเมือง การกดขี่ข่มเหงข้าราชการ การทุจริต ฉ้อฉล บิดเบือนการใช้อำนาจจนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ และการไม่นำพาต่อประเทศชาติและราษฎร ขยายตัวเป็นวงกว้างหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งขึ้น การโกงชนิดโคตรโกงและโกงทั้งโคตรกึกก้องไปทั้งประเทศโดยไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหมกันอีกแล้ว
ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อสู้ขับไล่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยการนำของ กปปส. มีประชาชนเข้าร่วมเดินขบวนเฉพาะในกรุงเทพฯ กว่า 6 ล้านคน และมีการเคลื่อนไหวของประชาชนทั่วประเทศกว่า 30 ล้านคน แต่ถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก และเกิดความเสียหายลุกลามใหญ่หลวง
กระทั่งมีการเตรียมการแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นส่วนๆ เป็นรัฐไทยใหม่ หรือสหพันธรัฐไทย-ล้านนา เป็นต้น มีการตั้งกองกำลังอาวุธชุดดำ มีการตั้งขบวนการมวลชนชุดแดง มีการก่อตั้งแนวรบสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีการตั้งขบวนเพื่อจะทำสงครามกลางเมือง เพื่อทำลายล้างคนไทยที่ไม่เห็นด้วย
ความกำเริบลำพองถึงขนาดไม่แยแสต่อพระสยามเทวาธิราช ไม่แยแสต่อกองทัพไทย และเหล่าประชาชนคนไทยผู้รักชาติทั้งหลาย ถึงขั้นตรวจพลสวนสนามอวดแสนยานุภาพในพื้นที่หลายจังหวัด
ในที่สุดเหล่าทหารก็ทนอยู่ไม่ได้ เพราะไม่อาจทนเห็นสงครามกลางเมืองที่คนไทยต้องฆ่าฟันกันเองเป็นมิคสัญญียุค ดังนั้นจึงได้เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ท่ามกลางการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนทั่วประเทศ โดยตั้งความหวังให้ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ทำการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย เพื่อวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขึ้นมาใหม่ และสร้างความไพบูลย์ให้แก่ระบอบเศรษฐกิจของประเทศ
ความหวังอันยิ่งใหญ่ของประชาชนชะงักลงประหนึ่งเกิดเสียงประทัดใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหว เพราะแทนที่ความมุ่งมาดปรารถนาดังกล่าวจะก้าวรุดหน้าไปสู่ความสำเร็จ กลับปรากฏว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ความหวังของประชาชนห่างไกลออกไปทุกที นั่นคือ
ประการแรก มวลชนทั้งฝ่ายรักชาติและฝ่ายของระบอบทักษิณถูกมองว่าเป็นพวกก่อปัญหาเหมือนกันทั้งคู่ ถูกมองว่าฝ่ายกอบกู้ฟื้นฟูชาติกับฝ่ายที่ต้องการให้ระบอบทักษิณปักหลักปักฐานขึ้นในราชอาณาจักรนี้ต่างก็เป็นพวกมีปัญหาเหมือนกัน และเมื่อมองเช่นนั้นแล้วก็ไปรวบรวมเอาพวกที่ไม่รู้จักร้อนหนาวด้วยการแผ่นดินเข้ามาเป็นกำลังในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ถูกเรียกอำนาจรัฐชนิดนี้ว่าอำนาจรัฐราชการ ซึ่งเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่
ประการที่สอง แม้เห็นปัญหาชัดเจนว่าจะต้องแก้ไขปัญหารากฐานให้เสร็จสิ้นไปก่อน แต่กลับถูกชักพาไปด้วยกระแสเลือกตั้ง แบบที่เคยเกิดขึ้นในการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 โดยลืมบทเรียนว่าการเลือกตั้งนั้นไม่ใช่การคืนอำนาจแก่ประชาชน แต่เป็นเพียงคืนอำนาจให้แก่นักการเมือง 500 คน ที่มีส่วนสร้างกรรมทำเข็ญให้บ้านเมืองมายาวนานและเป็นต้นเหตุให้มีการยึดอำนาจนั่นเอง จึงเปิดทางโล่งให้เหล่าผู้มีอาชีพในการปั่นรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เข้ามาครองบ้านครองเมืองโดยไม่ต้องลงแรง
ประการที่สาม หลงใหลในความคิดปรองดองทั้งที่ถูกทักท้วงอย่างหนักแน่นว่าในที่สุดจะต้องถูกโยนทิ้งทั้งจาน และเพราะความคิดแบบนี้ การเลี้ยงไข้ การซุกบรรดาคดีความทั้งหลาย และการปกป้องผู้ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมือง กระทั่งการช่วยเหลือต่างๆ จึงเกิดขึ้น และสร้างความอิหลักอิเหลื่อให้กับประชาชนทั้งประเทศ
ประการที่สี่ เพราะฝ่ายที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถูกผลักออกไปให้เป็นพวกที่มีปัญหา ในขณะที่พวกขี้ข้าลิ่วล้อบริวารอำนาจเก่าก็แทรกซึมเข้ามายิ่งกว่าน้ำป่าหลากในฤดูฝน จนที่สุดลิ่วล้อบริวารของระบอบทักษิณก็เข้ายึดครองอำนาจรัฐไปเกือบหมดสิ้น เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เรียกว่าเป็นการวางยาก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน พร้อมๆ กับการนำเอาสมบัติชาติไปยกให้เอกชนแสวงหาประโยชน์อย่างทุเรศทุรัง
สภาพทั้งสี่ประการนี้จึงทำให้ปัญหาชาติบ้านเมืองไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง และกำลังบ่มเพาะฝีให้เป็นหนองที่กำลังอักเสบรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน
ดังนั้นเมื่อมีการส่งสัญญาณป่วนงานพระราชพิธีอันเป็นจุดชี้ขาดการสิ้นสุดของการเลี้ยงไข้แล้ว ก็เป็นการถึงเวลาที่คนทั้งหลายจะได้หันมาคิดอ่านกันว่าจะปล่อยให้สภาพเช่นนี้เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะสิ้นชาติ หรือว่าจะตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวแก้ไขปัญหาชาติให้เสร็จสิ้นไป นำพาประเทศเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์อันไพบูลย์เสียที
ประชาชนเขาเบื่อเต็มทีแล้ว!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี