คนไทยเราเสมือนกับผู้คนในอีกหลายประเทศที่คุ้นเคยกับระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน (Representative Democracy) นั่นคือ ประชาชนพลเมืองเลือกตัวแทน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เข้าไปนั่งในสภา โดยผู้สมัครที่เป็นตัวแทนนั้น ต้องสังกัดพรรคการเมือง (แต่ในหลายประเทศก็เปิดโอกาสให้ผู้สมัครเป็นแบบอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองก็ได้ เช่น ประเทศเยอรมนี และประเทศญี่ปุ่น)
ที่ผ่านมา ของไทยก็เคยมีระบบสังกัดพรรคและไม่สังกัดพรรคสลับกันไป แต่ช่วง 30 ปีให้หลังโดยประมาณนั้น ได้กลายเป็นการบังคับให้ผู้สมัครทุกคนต้องสังกัดพรรคการเมือง
ฉะนั้น ก็เลยกล่าวได้ว่า การเมืองการปกครองประชาธิปไตยแบบตัวแทนของไทยนั้น มีพรรคการเมืองเป็นกุญแจสำคัญ หรือเป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย
โดยทางปฏิบัติแล้ว เริ่มจากพรรคการเมืองเลือกเฟ้นตัวผู้สมัครมาเสนอแก่ประชาชน เมื่อได้รับเลือกเข้าไปในสภา พรรคก็จะควบคุมการทำงานของผู้สมัครที่เป็นผู้แทนประชาชนในสภา ซึ่งหากพรรคนั้นชนะเลือกตั้งได้เป็นคณะรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี ทางพรรคก็มีหน้าที่ควบคุมกำกับฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) เพิ่มอีกด้วย
พรรคจึงมีบทบาททั้งในสภาและในคณะรัฐมนตรี และในหลายประเทศพรรคก็มีบทบาทในการคัดเลือกและแต่งตั้งฝ่ายตุลาการ นอกเหนือฝ่ายคณะรัฐมนตรี ผ่านประธานและรองประธานสภา
พรรคการเมืองจึงเป็นกลไกอันสำคัญยิ่งของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ฉะนั้น พรรคการเมืองเป็นอย่างไร มีผลโดยตรงต่อการบริหารราชการและการออกกฎหมาย และการกำกับดูแล และการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
จึงเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองโดยตรง ในการดำเนินการให้สังคมประชาธิปไตยสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ความเป็นไปภายในพรรค จึงมีความสำคัญยิ่งที่จะบ่งบอกว่า พรรคจะประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมประชาธิปไตย และความเจริญก้าวหน้าของประเทศอย่างใด
ในเมื่อพรรคการเมืองนั้นมีบทบาทสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้น พรรคการเมืองเองก็ต้องมีความเป็นประชาธิปไตยในตัวของพรรคเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการบริหารจัดการที่เป็นประชาธิปไตย มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูล และเปิดให้ทุกหมู่เหล่าเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้ ซึ่งหากพรรคการเมืองมิได้มีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคเสียแล้ว ก็เป็นการยากลำบากที่พรรคการเมืองจะมีบทบาทในเวทีประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง
ที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทนล้มเหลว หรือล้มลุกคลุกคลานนั้น สาเหตุสำคัญที่สุดมิใช่ประชาชนพลเมืองไม่รู้เรื่องการเมือง แต่รู้ไม่เต็มที่ เพราะพรรคการเมืองปกปิดข้อมูล ทำตัวเป็นองค์กรลับ หรือลบหลู่ และตอบสนองผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าประเทศชาติ หรือส่วนรวม
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพรรคถูกยึดด้วยองค์บุคคล หรือครอบครัว เป็นเผด็จการ หรือพรรคถูกยึดด้วยกลุ่มชนชั้นนำ หรือกลุ่มทุนสามานย์ ที่ใช้อำนาจรัฐ เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตนเอง
การแก้ไข คือการที่จะต้องทำให้พรรคเป็นของประชาชน และเป็นของสมาชิก โดยสมาชิกเลือกผู้บริหารพรรค และประชาชนสนับสนุนได้ในรูปจิตอาสา หรือทุนทรัพย์ โดยมีการตรวจสอบ รู้ที่ไปที่มา และวิธีการใช้จ่าย
พรรคจะต้องตอบสนองสังคม และต้องไม่ตอบสนองบุคคล หรือกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ เมื่อพรรคโปร่งใส มีการบริหารจัดการแบบประชาธิปไตย พรรคแข็งขัน พรรคจะได้รับการเคารพนับถือ พรรคจะมีความน่าเชื่อถือพรรคก็เล่นบทบาทประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่ และเมื่อนั้นประชาธิปไตยก็จะยั่งยืนขึ้น
เมื่อพรรคการเมืองใดๆ จะอาสาเสนอตัวมาบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยกันแล้ว ก็น่าจะได้กวาดบ้าน ทำความสะอาด ส่องกระจกดูตนเองกันเสียหน่อยว่า ในบ้านของตนนั้น ได้มีการบริหารพรรคกันแบบประชาธิปไตยกันแล้วหรือยัง? เพราะถ้าในพรรคยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แล้วเกิดชนะเลือกตั้งไป จะไปบริหารประเทศแบบประชาธิปไตยกันเป็นหรือ?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี