สัปดาห์ที่ผ่านมามีการพูดกันมากเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความยากจนให้กับประชาชน ถึงขนาดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแถลงว่าได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนภายใน 3 เดือน
ก่อนหน้านั้นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจก็เคยแสดงวิสัยทัศน์ว่าในปี 2561 นี้คนจนจะต้องหมดไปจากประเทศไทย
และหลังจากนั้นก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ เช่น การว่าจ้างให้งดการกรีดยางบ้าง ให้ยกเลิกการปลูกข้าวบ้าง การซื้อเรือประมงที่ผิดกฎหมายใช้ทำการประมงไม่ได้บ้าง กระทั่งมาตรการที่จะให้กู้ยืมเงินแก่คนจนเพื่อจัดซื้อบ้าน และล่าสุดก็ได้มีการพูดถึงความตั้งใจที่จะแก้ไขความยากจน โดยจะออกมาตรการชุดใหม่มาอีก
ก็ต้องขอสะกิดกันไว้เบาๆ ว่าอันยารักษาโรคทั้งหลายนั้น ถ้าหากถูกกับโรคแล้วเพียงขนานเดียวและไม่กี่มื้อกี่คราวก็จะรักษาโรคให้หายได้ฉันใด แต่ถ้าออกมาตรการแล้วออกมาตรการเล่ามากมายหลายขนานแต่โรคก็ไม่หาย คนยังยากจนอยู่ต่อไปและยากจนมากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการให้ยาผิดฉันนั้น
ความจริงประเทศไทยไม่ได้ผุดเกิดขึ้นมาใหม่แต่ประการใด หากเป็นประเทศเอกราชที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของตนเอง ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความมั่งมีศรีสุขและทุกข์เข็ญมาแล้วทุกรูปแบบ ดังนั้น ซึ่งจะคิดอ่านแก้ไขปัญหาใดๆ ในชาติบ้านเมืองนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะนึกฝันหรือเพ้อเจ้อเอาตามอำเภอใจได้
หากพึงคิดใคร่ครวญให้จงหนักเพราะการแผ่นดินนั้นเป็นการใหญ่ ต้องคิดอ่านให้หนักหน่วงถูกต้องถ่องแท้เสียก่อนจึงทำ หาไม่แล้วไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่กลับจะเพิ่มพูนและสร้างปัญหาให้มากมายขึ้นกว่าเดิม กระทั่งอาจเกิดความเสียหายมากมายเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีก
ที่สำคัญควรจะศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติว่ามียุคที่รุ่งเรืองประการใดบ้างหรือไม่ และในยุคนั้นมีนโยบายในการบริหารบ้านเมืองอย่างไร ซึ่งก็ต้องบอกว่าขอเพียงตั้งใจศึกษาทบทวนประวัติศาสตร์ของประเทศชาติให้ดี ก็จะมีบทเรียนและแบบอย่างที่จะนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองในยุคปัจจุบันได้
เอากันแค่ยุครัตนโกสินทร์นี้ก็กล่าวได้ว่ามียุคที่เจริญรุ่งเรืองมากถึงสี่ยุค
ยุคแรก แม้จะเป็นยุคที่ประเทศไทยเผชิญศึกสงครามและความไม่สงบเนื่องจากพระบรมราชจักรีวงศ์เพิ่งสถาปนาขึ้น และกรุงเทพมหานครก็เพิ่งจัดตั้งขึ้น แต่องค์พระปฐมบรมกษัตริย์ก็ทรงพระปรีชาสามารถตั้งพระบรมราชปณิธานแน่วแน่ว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะปกป้องขอบขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
ในยุคบ้านเมืองเพิ่งตั้งตัวเช่นนั้น ก็ทรงบำรุงขวัญประชาชนด้วยพระพุทธศาสนาและความมั่นคง จากนั้นก็พัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศจึงเป็นยุคเริ่มต้นความรุ่งเรืองแห่งรัตนโกสินทร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือลอกแบบต่างชาติมาเป็นแบบแต่ประการใด
ยุคที่สอง เป็นยุคที่ประเทศไทยเปิดการค้าขายระหว่างประเทศถึงสามเส้นทาง คือยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงส่งเสริมการค้าขายภายในประเทศ ทั่วทั้งประเทศและยังทรงเปิดประเทศ เปิดการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างสยามกับบรรดาประเทศทั้งหลายในสุวรรณภูมิ และขยายไปจนถึงประเทศจีน และประเทศอื่นๆ เท่าที่กองเรือพาณิชย์ที่ทรงจัดตั้งขึ้นจะเดินทางไปได้ จนกล่าวกันว่ายุคนั้นมีเงินล้นพระคลังหลวง
ยุคที่สาม เป็นยุคล่าอาณานิคมที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับศึกเหนือเสือใต้และปีศาจร้ายที่ล่าอาณานิคมทั่วทั้งภูมิภาคนี้ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงนำพาประเทศรอดปลอดภัยได้อย่างอัศจรรย์ ที่สำคัญ ทรงเปิดกว้างทางการค้าเสรีให้กับประเทศไทยเป็นครั้งแรก แค่ดูจากธนบัตรในยุคนั้นก็จะมีภาษาต่างประเทศถึง 5 ภาษา แล้วมาเทียบกันดูกับธนบัตรไทยในปัจจุบันนี้ว่าเทียบกันแล้วเป็นอย่างไร เพียงเท่านี้ก็เห็นความแตกแตกต่างของสติปัญญาต่างยุคสมัยได้ชัดเจน
ที่สำคัญ พระองค์ทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเป็นครั้งแรก และบริบูรณ์หลังจากเสด็จกลับจากยุโรปครั้งที่สอง สรุปได้ว่าทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเป็นสองแนวทางซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทยและคนไทย
ยุทธศาสตร์แรกคือการสร้างชาติให้เป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม หรืออุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
ยุทธศาสตร์ที่สองคือการสร้างชาติให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งครอบคลุมถึงการท่องเที่ยวและกิจการครบวงจร
ธงชัยทางยุทธศาสตร์ทั้งสองผืนนี้ได้ทำให้สยามในยุคของพระองค์รุ่งเรืองไพบูลย์ที่สุดในเอเชีย ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นในยุคพระจักรพรรดิเมจิต้องส่งคนมาดูงาน ถึงขนาดค่าเงินบาทมั่นคงแข็งแกร่งที่สุด คือ 1 บาทเท่ากับ 2 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ และมีความเจริญก้าวหน้าถึงขั้นพัฒนาการบริหารจัดการทั้งด้านการเงินการคลังอย่างเป็นแบบแผนที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งยุค
ยุคที่สี่ คือยุคสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นยุคที่ประเทศไทยประสบปัญหาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศและจากภัยสงครามที่คุกรุ่นอยู่รอบประเทศ ชนิดที่เรียกว่าศึกเหนือเสือใต้คุกคามชาติบ้านเมืองเข้าสู่ขั้นวิกฤติ กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายพื้นที่ปฏิบัติการถึง 45 จังหวัด
ในยุคนั้นทรงพระราชทานแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้น้อมรับกระแสพระราชดำรินั้นมาดำเนินการอย่างจริงจัง นำพาประเทศเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ และแม้ว่าจะต้องลดค่าเงินบาทถึงสองครั้งสองคราวแต่ประเทศไทยก็จำเริญรุ่งเรืองไพบูลย์จนเงินล้นพระคลังหลวงเช่นเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นขื่อแปของบ้านเมืองมั่นคง ประชาชนมีคุณธรรมในใจ ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในสายตาต่างประเทศ
ในปีพุทธศักราช 2529 กองทัพไทยได้ประกาศยุทธศาสตร์พระราชทานที่ลานพระราชวังพระบรมรูปทรงม้า โดยสรุปหลักยุทธศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้คือ “ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” และใช้กลยุทธ์หลักคือ “ทำสงครามกับความยากจน”
การสรุปและรวบรวมหลักยุทธศาสตร์พระราชทานในการทำสงครามกับความยากจนนั้นได้สรุปจากกระแสพระราชดำริจากห้วงเวลาปี 2514-2526 เป็นเวลาเกือบ 12 ปี ซึ่งกองทัพไทยได้ประกาศเรื่องนี้อย่างชัดเจนต่อหน้าทหารทุกเหล่าทัพ
ต่อมาหลักยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ได้ตกผลึกก่อตัวขึ้นเป็นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วโลก และประเทศมหาอำนาจอย่างน้อยสองประเทศก็ได้นำไปใช้ในการพัฒนาชาติบ้านเมือง
แล้วถามว่าประเทศไทยของเราได้ทำการศึกษา ได้ติดตามและคิดอ่านที่จะต่อยอดยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่บรรพชนได้คิดอ่านสร้างสรรค์ทำแบบอย่างไว้มาปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผลหรือไม่เพียงใด
เพราะแค่ทบทวนศึกษาและต่อยอดยุทธศาสตร์ต่างๆ และแบบอย่างการพัฒนาชาติบ้านเมืองที่บรรพชนได้ทำมาเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ประเทศไทยก็จะไม่ก้าวไปอย่างหลงทิศผิดทาง และย่อมสร้างความเจริญรุ่งเรืองครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นได้
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และที่กำลังคิดอ่านแก้ไขความยากจนกันนั้น หากไม่ตั้งอยู่บนรากฐานความเป็นจริงของประเทศชาติ หากยังทอดทิ้งหลักยุทธศาสตร์และประสบการณ์ความสำเร็จของชาติ
ดังพรรณนามา ก็อย่าได้หวังเลยว่าจะแก้ไขปัญหาความยากจนได้สำเร็จ
ประเทศไทยทุกวันนี้ถึงเวลาที่ต้องอัญเชิญหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ถึงเวลาที่ต้องอัญเชิญยุทธศาสตร์สองแนวทางในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาปฏิบัติอย่างจริงจังจึงจะสามารถกอบกู้ชาติบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤติและหายนะได้
เลิกลอกขี้ปากฝรั่งและหันกลับมาสู่ความเป็นจริงของบ้านเมืองของเราเถิดจะเกิดผล!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี