เพื่อนฝูงส่งต่อข้อเขียนนี้มาให้อ่าน อ่านแล้วสะท้านใจ และได้คิดต่อไปว่า สามปีที่ผ่านมา “โจทย์ของการปฏิรูปประเทศ” มุ่งแต่จะแก้ “ปัญหาทางการเมือง” เสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่รัฐบาลก็ทำงานไปกับข้าราชการประจำแบบ “ประจำๆ” โดยไม่มีโจทย์เรื่อง “คุณภาพชีวิต” ของผู้คนเป็น “วาระเร่งด่วน” เลย ใช่หรือไม่
เอาล่ะ อย่าต่อว่ากันเลย แฟนคลับลุงตู่เยอะ (ฮา...) ข้ามไปถามถึงอนาคตกันเลยดีกว่าว่า ถ้าใช้กรอบของข้อเขียนแบบ “ทีเล่นทีจริง” นี้ เป็นโจทย์ในการสร้าง “ยุทธศาสตร์ศาสตร์” ที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือให้พรรคการเมืองต่างๆ นำไปสร้างนโยบายของตน จะดีเพียงใด
ข้อความที่ได้รับดังกล่าวนั้น อ้างถึงชื่อและเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ
Reianthong Vongsangkam 19 มกราคม เวลา 18.14 น. ความเจ็บปวดของคนกรุงเทพ #เพราะเป็นคนกรุงเทพจึงเจ็บปวด
ภายใต้อาคารสวยงาม เสื้อผ้าที่ดูดี ภาพแห่งความสุขของคนกรุง เมืองหลวงที่เมืองไทยลงทุนไปกับมัน คนกรุงเทพอย่างเรามีเรื่องอะไรให้เจ็บปวดบ้าง...
1) รถติด
- เราเป็นคนที่อยู่ในรถได้วันล่ะ 3-4 ชม. ทั้งกิน นอน และทำงาน เหลือแค่ตายแล้วล่ะที่เรายังไม่ได้ทำ
-“ความน่ากลัวของมนุษย์คือปัญหาที่ควบคุมไม่ได้” ใช่ครับ ปัญหารถติดคือเรื่องที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้เลย มีใครจัดการกับมันอยู่มั้ย จะขอความช่วยเหลือจากใครหรือจะแก้ปัญหานี้ยังไง แต่ละวันเราปล่อยให้เรื่องรถติดเป็นตามยถากรรม เอาจริงนะ วันไหนที่ผมไม่เจอรถติดวันนั้นผมก็มีความสุขแล้ว
- วันจันทร์ตอนเช้าและวันศุกร์ตอนเย็นเป็นวันที่พวกเราชอบเอารถมาจอดบนถนน
- มีงานวิจัยบอกว่า การขับรถแบบปาดซ้ายปาดขวาช่วยให้เร็วขึ้นได้จริง แต่ไม่คุ้มกับสุขภาพจิตที่เสียไป
- ก่อนที่จะเร่งเครื่องให้เตือนตัวเองเสมอว่าความเร็วที่เพิ่มขึ้นจาก 40 เป็น 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเพิ่มโอกาสเสียชีวิตให้คนที่โดนรถชนจาก 5% เป็น 85% ในขณะที่ช่วยให้เร็วขึ้น 1 นาทีครึ่ง
2) ที่อยู่
- การมีบ้านในฝันเป็นเรื่องที่ห่างไกล เพราะส่วนใหญ่เราเลือกจากทำเล ไม่ใช่ลักษณะของบ้าน
- เราใช้เงินในการขยายพื้นที่ส่วนตัว เพราะพื้นที่สาธารณะของเรามีน้อยเหลือเกิน
- การมีถนนใหญ่และรถไฟฟ้าตัดผ่านไม่ได้ดีเสมอไป เพราะมันหมายความว่า “ความเป็นชุมชน” ของคุณได้หายไปแล้ว
- วัยรุ่นอย่างเรากำลังเสียเงินผ่อนคอนโดฯที่ที่ดินไม่ใช่ของเราและอนาคตกำลังโดนน้ำท่วม
- ตอนกลางคืนตามตรอกซอกซอยและย่านชุมชนจะเหมือนหนังเรื่อง Sin City ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้กับคุณ
- เราอยู่ในเมืองที่อาบ อบ นวด ลดภาษีได้ แต่หนังสือลดไม่ได้
- อาบ อบ นวด มีพอๆ กับวัด ซึ่งบางทีฟังก์ชั่่นก็สลับกัน
3) ไลฟ์สไตล์
- การงาน, การเงิน, สุขภาพ, ครอบครัว และเพื่อน คือห้าเรื่องหลักที่ทำได้แค่สามเรื่องก็เก่งแล้ว
-กาแฟคือดัชนีชี้วัดการทำงานหนักของพวกเราได้เป็นอย่างดี
- เราถูกโฆษณาครอบงำตลอดเวลา และเราก็จะเสียเงินไปกับสิ่งของที่เราแทบไม่ได้ใช้มัน
- คนที่ไม่สนิทเราจะคุยเรื่องความสุข แต่คนที่สนิทเราจะคุยเรื่องความทุกข์
- เราใช้มือถือในการนัดเจอกันเพื่อจะมานั่งเล่นมือถือด้วยกัน
- เดี๋ยวนี้การเห็นนมผู้หญิงง่ายกว่าการหาข้าวกินแล้ว
- เราไม่ชอบสังคมอุปถัมภ์ รับน้อง งานบวช และงานแต่ง อย่าลืมใส่ซองนะ
- เราเงินเดือนไม่เยอะหรอก แต่บางทีเราก็ยินดีซื้อมือถือที่แพงกว่าเงินเดือน
- เราชอบการบริจาคและวาดฝันถึงสังคมในอุดมคติ มากกว่าการลงมือแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง นั้นจริงๆ
- ส่วนใหญ่เรามีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันนี้
4) สุขภาพ
- ความจริงเราไม่ได้รักสุขภาพอะไรนักหรอก เราแค่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่านั้นเอง
- มะเร็ง คือโรคยอดนิยมของพวกเรา สาเหตุหลักเพราะอาหารที่เรากินไม่มีคุณภาพและหลากหลายพอ ซึ่งเกิดจากการผูกขาดของบริษัทอาหารอีกที
- ผอมไม่ได้แปลว่าสุขภาพดี แต่มื้อนี้ขออดข้าวหน่อยนะ
5) การท่องเที่ยว
- “ถ่ายรูปสวยมั้ย” คือเหตุผลหลักๆ ที่เราจะเที่ยวสักที่ แม้ว่าสถานที่นั้นจะกลวงเปล่าแค่ไหนก็ตาม
-“การโพสท่า 101” คือหลักสูตรที่ควรจะบรรจุในระบบการศึกษา
- เราไปเที่ยวต่างประเทศมากมาย ว่าแต่คนข้างบ้านเราชื่ออะไรนะ
- ไม่รู้เป็นเรื่องดีหรือร้าย เวลาหยุดยาวทีไรเราไม่มี“บ้าน”ให้กลับไป
6) สภาพ
- ถ้า “โง่ จน เจ็บ” คือวาทกรรมสำหรับคนต่างจังหวัด “จน อ้วน โสด” ก็คือวาทกรรมสำหรับคนเมือง
- กรุงเทพคือเมืองสำหรับคนหนุ่มสาว ไม่ใช่สำหรับเด็ก คนแก่ และคนพิการ
- ฐานะของคนใช้บริการสาธารณะและจำนวนขอทาน คือตัวชี้วัดที่ดีในการมองคุณภาพของเมือง
7) อื่นๆ
- เราชอบยิ้ม แต่ตีความหมายยิ้มของเราดีๆนะ
- ความเหลื่อมล้ำคือเรื่องที่สำคัญพอๆกับรถติดแต่น่ากลัวกว่าตรงที่เราไม่เห็นมัน
- กฎหมายไทยคือเรื่องที่เราควรทำความเข้าใจแต่เราไม่มีวันเข้าใจ เพราะบทบัญญัติกับการปฏิบัติจริงมันคนละเรื่อง
- ผู้ว่าของเราจะโผล่มาสองช่วง คือ ช่วงหาเสียงและน้ำท่วม
ทีนี้ ลองมาดู “เรื่องจริงๆ” จากงานวิจัย ประกบกันเข้าไปสัก 1 เรื่อง จะพบว่า ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องวางแผน วางยุทธศาสตร์ วางนโยบาย คงไม่ใช่เรื่อง “ความปรองดอง” ที่ยาก
จะข่มขืนหัวใจให้คนไม่ชอบพอกันมากอดคอกันหรอก แต่ต้องทำให้ชีวิตของคนทุกเหล่า ทุกสี มี “คุณภาพชีวิตที่ดี” โดยระบบที่เป็นธรรมจาก “รัฐ” ลองดูผลวิจัยเรื่องนี้สักหน่อยสิครับ
ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แถลงผลการศึกษา “การประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของการสร้างเสริมสุขภาพ” ว่าจากการศึกษาข้อมูลด้านสุขภาพคนไทย ในช่วง 15 ปี ข้างหน้าสุขภาพคนไทยจะเป็นอย่างไร โดยนำข้อมูลสุขภาพของทั้ง 3 กองทุน ประกอบด้วย สวัสดิการข้าราชการ,ประกันสังคมและสำนักงานกองทุนหลักประกันสุขภาพ เปรียบเทียบและวิเคราะห์ ตั้งแต่ปี 2545-2560 พบว่าสัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2545 อยู่ที่ 9.32% ในปี 2550 อยู่ที่ 13% คาดว่าในอนาคตจะยิ่งสูงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มวัยเพราะประชากรไทย ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ จากการประเมินสัดส่วนของอัตรารายได้กับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะพบว่าหากมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 เท่า อัตราค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพก็จะเพิ่มขึ้น 1 เท่าเช่นกัน และคาดว่าในอีก 15 ปี ข้างหน้า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยจะอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท หากรัฐไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เช่น การส่งเสริมและป้องกันโรค ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการรักษาโรคเพื่อลดต้นทุนการรักษา เป็นต้นบวกกับหากเข้าสู่สังคมสูงวัย จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงถึง 1.825 ล้านล้านบาท แต่หากรัฐควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 1.319 ล้านล้านบาท และยังพบว่า ในสัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ยังมีบางส่วนอยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เช่น วิตามิน หรืออาหารเสริมด้านความงาม โดยปัจจัยภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เป็นเรื่องของกำลังทรัพย์
นายณัฐนันท์ กล่าวว่าจากการศึกษา พบว่า สัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นยังคงหนีไม่พ้น 5 กลุ่มโรค โรคอ้วน,โรคความดันโลหิตสูง,โรคโลหิตจาง,โรคข้ออักเสบ, โรคเบาหวาน ทั้งนี้แนวทางในการแก้ไข สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นในสังคมผู้สูงอายุ ภาครัฐต้องเร่งหานโยบาย แนวทางรองรับประชากรผู้สูงอายุอย่างจริงจัง เน้นการส่งเสริมป้องกันโรค เพราะ 5 โรคที่พบเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ ด้วยการปรับพฤติกรรม การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย “จะเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าจำเป็นของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้มีรายได้สูง ขณะที่ผู้มีรายได้ปานกลางจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย อาจเพราะกลุ่มคนนี้มีตัวเลือกในการใช้บริการในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น เช่นซื้อวิตามินต่างๆมากินมากขึ้น เป็นต้น แต่ไม่ได้แปลว่ากลุ่มคนมีรายได้สูงจะไม่ซื้อมากิน อาจจะซื้อมากินเช่นกันแต่ไม่ได้กระทบกับรายได้ของเขา สำหรับคนรายได้สูง จึงยังถือเป็นสินค้าจำเป็นได้”นายณัฐนันท์กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อดูเรื่องภาวะการเจ็บป่วยกับสถานการณ์สังคมสูงวัยของไทย พบว่า คนไทยจะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจและโรคอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เรื้อรังมานาน โดยปี 2551 ค่ารักษาพยาบาลใน 5 โรคนี้มีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท หากคนไทยป่วย 5 โรคนี้อยู่ที่ 18.25 ล้านคนต่อปี ที่เข้ารับบริการที่สถานพยาบาล อยู่ที่ประมาณ 3.35 แสนล้านบาทต่อปี
นายณัฐนันท์กล่าวว่า โดยสรุปการเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทย ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ไทยหรือประชากรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และภาวะการเจ็บป่วยจากโรค ไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยรวมของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลควรมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ รวมถึง ควรกำหนดมาตรการป้องกันและแผนการควบคุมโรคโดยเฉพาะโรคในกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง เนื่องจากโรคเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งสามารถป้องกันได้
ทั้งเรื่องทีเล่นทีจริง และเรื่องจริงๆ ที่เอามาบอกเล่ากันนี้คืออะไร
คือการตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมา มัวแต่สาละวนอยู่กับ “การเมือง” กัน ลืมสร้าง “คุณภาพชีวิต” กันนานแค่ไหน
สังคมสูงอายุ มาจ่อคอหอยอยู่รำไร ทั้งประชาชน พรรคการเมืองที่กำลังเตรียมกาเลือกตั้ง และรัฐบาลปัจจุบัน ได้คิดอะไร เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้บ้างไหมครับ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี