ผู้ที่สนใจหรือศึกษาเรื่องการเมืองในระบอบประชาธิปไตยย่อมทราบดีว่าเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของการปกครองระบอบนี้ที่มีส่วนโดยตรงต่อการปกครอง คือ พรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดในการใช้อำนาจทางการเมืองแทนประชาชนผู้ที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้นๆ อย่างไรก็ดี มีการถกเถียงกันว่าในประเทศหนึ่งๆ นั้น ควรมีพรรคการเมืองจำนวนเท่าใด ซึ่งบทสรุปก็คือย่อมสุดแต่สภาพวิวัฒนาการของสถาบันการเมืองแต่ละประเทศ
พรรคการเมือง หมายถึง กลุ่มการเมืองที่บุคคลซึ่งมีความคิดทางการเมืองคล้ายกันมารวมตัว โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในทางการเมืองจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น รวมทั้งคัดเลือกบุคคลให้มีตำแหน่งทางการเมืองในพรรค โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาลอันเป็นศูนย์อำนาจในการบริหารประเทศโดยวิถีทางของการแข่งขันกับกลุ่มอื่นในระบบเลือกตั้ง
นอกจากนี้พรรคการเมืองยังต้องการแสดงความคิดเห็นและอิทธิพลทางการเมืองผ่านพรรคและเลือกผู้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคด้วยวิธีการประชาธิปไตย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะได้ผู้ที่จะนำพรรคไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง ถ้าพรรคชนะในการเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคกลายเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาลซึ่งบทบาทหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไปในกรณีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเขาจะต้องแสดงบทบาทเป็นผู้นำของประเทศโดยถือว่าเป็นผู้นำของสาธารณะไม่ใช่เป็นหัวหน้าของพรรคโดยพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนถ้าเป็นพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลก็เช่นกันหัวหน้าพรรคจะต้องแสดงบทบาทที่เขาต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาลโดยไม่ใช่ยึดมั่นว่าเป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นอยู่เท่านั้น
เมื่อบทบาทพรรคการเมืองเป็นไปดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะมีพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรค (เว้นแต่ในประเทศที่มีพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวและมีพรรคเล็กๆ เป็นองค์ประกอบ ก็ไม่ถือว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยพรรคการเมืองอาจมีสองพรรค หรือหลายพรรคได้ ในประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคส่วนใหญ่เกิดจากสังคมที่มีพรรคการเมืองเล็กๆ หลายพรรคทำให้พรรคใหญ่ต้องพึ่งพรรคเล็กๆ สนับสนุนทำให้พรรคเล็กมีความสำคัญ เช่น ประเทศในทวีปยุโรปโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย
สำหรับประเทศไทยนั้นหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ทำให้การเมืองกลับเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยรัฐบาลได้เปิดให้มีการจดแจ้งชื่อพรรคการเมืองใหม่ และได้มีผู้แสดงความจำนงจดแจ้งชื่อพรรคอย่างคึกคักจำนวนกว่า 50 พรรคแต่ยังไม่ให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ทำกิจกรรมทางการเมืองได้
อย่างไรก็ดี กติกาที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แตกต่างกว่ารัฐธรรมนูญในอดีตที่ผ่านมามาก ถ้าดูจากกติกาแล้วพรรคการเมืองใหม่คงไม่ง่ายที่จะมีสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งมาก ปรากฏการณ์ที่บรรดากลุ่มการเมืองจำนวนมากพากันไปขอจดทะเบียนพรรคการเมืองขณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะการตั้งพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดูอาจไม่ยากแต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงแล้วจะเหลือสักกี่กลุ่มที่จะไปถึงดวงดาว คือ ประสบความสำเร็จในการเป็นพรรคการเมืองเว้นแต่พรรคการเมืองบางพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจรัฐปัจจุบันรวมกับสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งอีกจำนวนมากเป็นฐานการจัดตั้งรัฐบาลส่วนบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยที่ตั้งขึ้นใหม่อาจหวังว่าถ้าสมาชิกของตนได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาเพียงไม่กี่คน แต่อาจมีโชควาสนาในทางการเมืองก็เป็นได้
สรุปรวมความว่า การเมืองของประเทศภายหลังการปฏิวัติจะประสบความสำเร็จที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ หนึ่ง องค์อธิปัตย์ซึ่งยังกุมอำนาจการปกครองประเทศจะต้องพัฒนาตัวเองพร้อมทั้งทำให้นักการเมืองทั้งเก่าและใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองและต้องพัฒนาตัวเองให้เข้ากับหลักการประชาธิปไตย กับสอง นักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองเก่ากับพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ จะต้องพัฒนาพรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคของมวลชนอย่างแท้จริง คือ ไม่มีเจ้าของพรรคดังในอดีต ถ้าการเมืองไทยสามารถพัฒนาทั้งสองส่วนได้สำเร็จ การเมืองไทยยุคใหม่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี