กสทช.จัดสรรให้เงินผ่าน “กองทุนสื่อปลอดภัย” ให้กระทรวงวัฒนธรรม 400 ล้านบาท คุณคิดว่ากระทรวงควรนำไปใช้ทำอะไร?!
แต่เอ...เขาให้พวกเราช่วยคิดด้วยไหมล่ะ? ไม่รู้สิ (ฮา..)
ลองฟังเขาดูก่อน ว่าเขาคิดจะทำอะไรกัน
16 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ ในงานเสวนาย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ บอกว่า จากกระแสนิยมต่อละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าว ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั้งประเทศ และจากนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการตามแนวทางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชดำรัสให้รักษา สืบสานและต่อยอด ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีประเทศไทย และวัฒนธรรมไทย ซึ่งละครเรื่องนี้ ทำให้การท่องเที่ยวตามแหล่งโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับความนิยมอย่างมาก คนนิยมแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุค ไปท่องเที่ยวถ่ายภาพอย่างคึกคัก จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมนำกระแสละครไปต่อยอดให้เด็กนักเรียนเยาวชนรุ่นปัจจุบัน และประชาชนทั่วไป หันมาเรียนรู้และให้ความสำคัญศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและจริงจังทั้งในด้านการใช้ภาษา ขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิต รวมถึงอาหารการกิน ที่ถือเป็นการสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อไป
นายวีระ ยังบอกด้วยว่า หากทางผู้จัดละครบุพเพสันนิวาส จะทำภาคต่อ จะให้การสนับสนุน ด้วยเงินจากกองทุนสื่อปลอดภัย ที่ กสทช.จัดสรรให้กระทรวงวัฒนธรรม 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่จะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์และละครส่งเสริมวัฒนธรรมในปีนี้ด้วย
ต่อมาในวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ก็ได้เชิญผู้สร้าง ผู้ผลิต ผู้กำกับ ผู้เขียนบท จากสถานีโทรทัศน์และค่ายภาพยนตร์ มาร่วมหารือถึงการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โดยได้รับความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องตอบรับเข้าร่วมการประชุมอย่างมาก
นายยงยุทธ ทองกองทุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท จีดีเอช 559 จำกัด กล่าวว่า ที่ประชุม ได้มีการเสนอข้อคิดเกี่ยวกับต่อยอดกระแสละคร บุพเพสันนิวาส ซึ่งจุดประกายให้สังคมตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องละครประวัติศาสตร์ และการรักษาความเป็นไทย ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ ทุกฝ่ายเข้าร่วมหารือ ถึงการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นการสานต่อการผลิตสื่อที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ พร้อมเห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องดีที่ทางภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนการผลิต แต่การส่งเสริมเรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น จำเป็นต้องเปิดกว้างในความคิด
และมุมมองของผู้ผลิตสื่อที่มีความหลากหลาย ว่าอะไรคือ เรื่องที่อยากจะเล่า มีรูปแบบใดบ้าง มุมมองทัศนคติของเรื่องมีอะไรบ้าง
เพื่อไม่ให้โหมกระแสแค่ผลิตแต่ละครหรือภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ เพราะจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
“ขอชื่นชมละครบุพเพสันนิวาสที่สามารถนำเสนอความเป็นอดีตโบราณ ร่วมกับความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ประกอบกับการรับรู้ของรัฐบาลที่รับลูกเร็วมากและพยายามสร้างความร่วมมือให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นไปได้ที่ผู้ผลิตสื่อจะร่วมมือกันหยิบยกและสอดแทรกความเป็นไทยไว้ในเนื้อเรื่องของละคร และภาพยนตร์ ทั้งการแสดงออกทางท่าทาง ภาษาที่พูด คำที่ใช้ วัสดุสิ่งของ การแต่งกาย แต่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ผลิตสื่อจะเกิดได้จริงหรือไม่นั้นต้องดูหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะบางครั้งนโยบายรัฐเปลี่ยน รัฐมนตรีเปลี่ยน หรือไม่เกิดการสนับสนุนต่อเนื่อง ความพยายามก็คงไม่บรรลุผลตามที่วางไว้” นายยงยุทธกล่าว
ดร.ณฤดี เคียงศิริ ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโทรทัศน์ทองคำ กล่าวว่า ละครบุพเพสันนิวาส ไม่ใช่เรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จ แต่ด้วยจังหวะ และช่วงเวลาที่เหมาะสม สามารถส่งให้ละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเร็วมาก ต้องขอชื่นชมการค้นหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี เป็นตัวอย่างของละคร ที่นำความร่วมสมัยเข้าไปอยู่ในละครย้อนยุค ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะวัยรุ่นเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในความรู้สึก และมีความสนใจอยากติดตาม ในขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ก็ปลุกกระแสไทยนิยมขึ้นมา ทำให้กระแสละคร และการส่งเสริมการแต่งผ้าไทยมีการรับลูกเกิดความต่อเนื่อง
“เมื่อละครจบคงต้องมาดูว่า จะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจน รวมทั้งขอทางภาครัฐอำนวยความสะดวกผู้เขียนบทละคร ในการสัมภาษณ์ผู้รู้ทางด้านประเพณี วัฒนธรรม นักประวัติศาสตร์ ศิลปินแห่งชาติ เพื่อนำความรู้มาใช้ในการสร้างสรรค์บทละครสู่สังคม ขณะที่ ภาคเอกชนขอให้มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น อย่ามองเป้าหมายอยู่ที่เงินอย่างเดียว นอกจากนี้ อยากให้วธ. ทำคลังสมองด้านศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการให้ทุกภาคส่วนได้มาต่อยอดความรู้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น”
นายสรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์ นักเขียนบทละครโทรทัศน์เรื่อง “นาคี” กล่าวว่า หากเราถอดบทเรียนจากประเทศ มีรายได้จากการใช้สร้างทุนทางวัฒนธรรม จะเห็นว่าประเทศเหล่านั้น จะทำการวิจัยก่อนแล้วจึงนำไปต่อยอด หากเราไม่มีการวิจัยเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกอย่างก็จะจบไปตามกระแส
“จะต้องทำความเข้าใจว่า ละครสามารถจุดประกายให้คนเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ได้ สะท้อนถึง สถานภาพการเรียนประวัติศาสตร์ในระบบการศึกษา ว่า ทำไมละครกระตุ้นคนสนใจประวัติศาสตร์ อยากเรียนรู้และจดจำประวัติศาสตร์ ถือเป็นอำนาจอ่อนเชิงวัฒนธรรม ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในชั้นเรียน โดยไม่ได้เอาประวัติศาสตร์ไปไว้บนหิ้ง และมาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากจะไม่ให้กระแสหายไป การทำละครจะต้องคำนึงถึงความเพลิดเพลินเป็นพื้นฐาน นำพาความคิด และจิตวิญญาณให้ได้” นายสรรัตน์ กล่าว
นายพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ กรรมการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เรียกร้องให้ วธ.ผลักดันแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านภาพยนตร์ ระยะที่ 3 เพื่อนำไป สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม มีการสนับสนุนบุคลากรและการตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และท้ายน้ำ อีกทั้งมีกองทุนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดตามแผน เพราะละครชุดอิงประวัติศาสตร์ใช้งบประมาณสูงมาก โดยเสนอให้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม มีสตูดิโอแห่งชาติ และสนับสนุนคลังเสื้อผ้าและเครื่องประกอบฉากเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้ถ่ายทำหนังละครในราคาที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งโดยปกติ หนังและละครซีรี่ส์ทั่วไป ตอนละ 1.2-1.8 ล้านบาท แต่ถ้าละครพีเรียดจะแพงขึ้นอีก 30-40% และหากเกิดขึ้นจริงยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงและร่วมผลิตหนังละครประวัติศาสตร์ได้ด้วย
น.ส.ณัฐิยา ศิรกรวิไล ผู้เขียนบทละครมือรางวัลจากเรื่อง เพลิงบุญ และ วัยแสบสาแหรกขาด ชมรมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เสนอให้รัฐบาลมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ให้บุคลากรนักเขียนบท เพราะหนังและละครดีๆ ไม่ใช้ดีดนิ้วแล้วได้เลย นอกจากนี้ รัฐต้องมีบทบาทประสานนักวิชาการและรวบรวมทำเนียบนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่จะช่วยเหลือให้งานเขียนบทละครมีความสมบูรณ์ ที่ผ่านมาจะติดต่อขอสัมภาษณ์นักวิชาการยากมาก พอบทละครผิดพลาดจะโดนวิจารณ์ ตลอดจนควรจัดทำห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หากมีส่วนนี้อาจมีนักเขียนบทที่เก่งและเชี่ยวชาญเหมือนศัลยาเกิดขึ้นในสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น รัฐต้องส่งเสริมการสร้างงานนักเขียนบทเลือดใหม่ ชมรมฯ ไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการให้รัฐร่วมสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้เขียนบทร่วมตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรี่ส์ กล่าวว่า วธ.ควรหยิบประวัติศาสตร์และวิชาการมาจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อถกเถียงและหามุมมองประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ร่วมกัน ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าจะสร้างหนัง 2 เรื่อง เพื่อหนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือปรีดี พนมยงค์ เรามีความพร้อมจะรับจุดยืนทางประวัติศาสตร์ที่หลากหลายหรือไม่ ตลอดจนสยามในมุมมองต่างประเทศ วธ.จะสนับสนุนเรื่องแบบนี้ได้หรือไม่
นอกจากนี้ การอุดหนุนอุตสาหกรรมหนังและละครมี 2 ประเภท คือ เชิงพาณิชย์ อย่างละครบุพเพสันนิวาส จัดเป็นละครเพื่อขาย เข้าถึงคนได้ง่าย อีกประเภทเป็นงานแบบวิจิตรศิลป์ จะสนับสนุนทั้งหมดหรือไม่ จะพัฒนาอย่างไรทำให้ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์หมุนเวียน หรือหนังเรื่องโหมโรง และบางระจัน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ลุ่มลึก แต่สามารถปลุกจิตสำนึกคนรักชาติและศิลปวัฒนธรรมได้ วธ.ต้องพิจารณาความหลากหลายของวัฒนธรรม ไม่มองแคบๆ อีกทั้งรัฐจะมีส่วนสนับสนุนงบประมาณในการบำรุงรักษาสถานที่ใช้ประกอบการผลิตหนังหรือละครประวัติศาสตร์ได้อย่างไร
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ข้อเสนอที่ประชุมให้ตั้งศูนย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมเพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับหนังและละคร ตนเห็นด้วยว่า ควรจะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่นเดียวกับการสร้างบุคลากรจะต้องจัดโครงการอบรมสำหรับนักเขียนบทและจัดอบรมสำหรับผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งประเทศเกาหลีประสบผลสำเร็จจากการให้ความสำคัญกับกลุ่มคนเหล่านี้ รวมถึงใช้ผู้กำกับที่มีประสบการณ์แล้วสร้างภาพยนตร์ระดับโลก นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีประเด็นที่ฝากให้ผู้ประกอบการช่วยคิดต่อ ถ้าต้องการให้รัฐอุดหนุนผลิตหนังและละครน้ำดีสอดแทรกประวัติศาสตร์ควรจะสนับสนุนทุนตั้งต้นเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะสม แต่เป็นไปไม่ได้ที่รัฐจะอุดหนุน 100 % ทาง วธ.ยินดีให้การสนับสนุนในเรื่องข้อมูลและบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์หากประสานมาเพื่อให้เกิดภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ตนมีความกังวลว่า จากกระแสละครประวัติศาสตร์จะทำให้ผู้ผลิตแห่สร้างหนังในแนวเดียวกัน ฉะนั้น วธ.จะต้องวางแผนการสนับสนุนแต่ละปีจะส่งเสริมหนังและละครแนวใด เพื่อให้เกิดความหลากหลายของอุตสาหกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตนจะนำข้อเสนอประเด็นต่างๆ เข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ เพื่อพิจารณาในวันที่ 17 เม.ย. นี้ด้วย
จากทั้งหมดที่ได้รวบรวมมาเป็นข้อมูลพื้นฐานข้างต้นนี้
1) กระทรวงวัฒนธรรม วางตัวเหมือนเป็นทางผ่านของเงิน หรือผู้จัดสรรเงินที่ได้มามากกว่า เข้าใจว่าเงินได้มาพร้อม “โจทย์เฉพาะ” คือนำไป “สร้างสื่อปลอดภัย” แต่จะดีกว่านั้น หากกระทรวงฟังทุกคนแล้ว “คิดสร้างสรรค์” ต่อได้
2) ภาคเอกชนไม่ได้ต้องการแค่เงินอุดหนุน แต่เขาต้องการ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่จะคอยให้คำปรึกษา และการอำนวยความสะดวก เช่น มีชุดให้ใช้ มีสตูดิโอ มีฉาก มีพื้นที่ให้เพื่อการถ่ายทำ สำคัญกว่านั้นคือมีวิสัยทัศน์ เช่น ในเกาหลีใต้ รัฐบาลเอาเรือนเก่ามาปลูก ทำเป็นอุทยาน เป็นหมู่บ้าน ใช้ทั้งเดินเที่ยวและถ่ายทำได้เลย เป็นต้น ในบ้านเราเอกชนต้องดิ้นรนกันเอง
3) วิสัยทัศน์ที่สำคัญกว่านั้น คือ ชัดเจนในตัวเองว่า กำลังต้องการอะไร ไม่ใช่แค่งงๆ และตื่นตูมไปกับกระแส เช่น เกาหลีใต้ ต้องการใช้สื่อบันเทิงเป็น “สินค้าส่งออก” รัฐจึงมีงบประมาณสนับสนุน มีสถานที่ที่เป็นโจทย์ให้ผู้สร้างไปคิด เช่น จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะนามิ ไปทำหนังให้คนอยากมาเที่ยวที่นี่ ส่งเสริมให้คน “ติดหู” กับภาษาเกาหลี ผลิตเพลง ผลิตหนัง ผลิตละครส่งออก พร้อมๆ กับใช้โทรศัพท์มือถือของเกาหลี รถของเกาหลี อาหารเกาหลี ที่เที่ยวเกาหลี ชุดฮันบกเกาหลี เป็นต้น คือมี “สินค้า” ที่แท้จริงรองรับ ไม่ใช่มีแค่สื่อ กับ “นามธรรม” ดื่มด่ำกันเอง แต่ไม่มีอะไรต่อยอดให้ “บริโภค” และเกิดเป็น “มูลค่า” ซึ่งหากรัฐยังงงๆ กับนโยบายและความต้องการ เงินก้อนนี้จะสูญเปล่า และใช้ได้ไม่คุ้มค่า เป็นแต่เพียงจัดสรรไปให้ทำหนังทำละครเหมือนที่เคยทำมา แต่ไม่มี “เป้าหมาย” ที่ชัดเจนว่า จะต่อยอดไปถึงอะไร
4) ดูอย่างกระแสบุพเพสันนิวาส พอคนสนใจขึ้นมา เราก็แตะได้แค่เปลือกว่า แต่งไทย ไปเที่ยว ภาษาพูด และอาหารการกิน ซึ่งผ่านช่วงเวลานี้ไปก็ไม่มีใครสนใจแล้ว มันเป็นความวูบวาบ ใครจะมา “ออเจ้า” กันข้ามปี ข้ามศตวรรษ เพราะการแต่งกายที่ว่านั้น ภาษาที่ว่านั้น เป็นสิ่งที่ “ล่วง” ไปแล้ว มิใช่ชีวิตปัจจุบัน ละครหลายเรื่องของเกาหลีที่เป็น “สะพาน” นำคนไปเที่ยวเกาหลี นำคนเกาหลีเที่ยวบ้านเมืองตัวเอง มิใช่ “ละครย้อนยุค” หากแต่เป็นหนังเป็นละคร ปัจจุบัน” ซึ่งเป็น “ชีวิตจริง” ของผู้คน เราจึงต้องไม่สาละวนแค่ “ละครย้อนยุค-อิงประวัติศาสตร์”
5) โจทย์จึงอยู่ที่ ทำอย่างไรให้มันสืบเนื่องและมั่นคงถาวร เช่น อยากแต่งไทยใช่ไหม เปลี่ยนชุดนักเรียน มาเป็นชุดลำลองง่ายๆ เสื้อผ้าฝ้าย บาง คอกลม หรือคอยก แบบชุดของไอ้จ้อย เปลี่ยนการใส่สูทมาใส่เสื้อแบบพี่หมื่น (ที่ไม่ต้องกาววาว หรือฟรุ้งฟริ้งมาก เหมือนผ้าที่ใช้ตัดชุดกุมารทอง) อะไรทำนองนี้
6) ไปเที่ยว ก็ไปซึมซับประวัติศาสตร์ ไปดูรากเหง้าที่มา ไม่เป็นคนแปลกหน้ากับแผ่นดินของตัวเอง ดื่มด่ำและรักในอารยธรรมของตัวเอง ไม่ใช่ไปแค่ใช้เป็นฉากถ่ายรูป วัดไชยวัฒนารามจึงไม่ต่างจากตึกเก่าที่สงขลา หรือฉากฉากหนึ่ง ที่คน “ยืมใช้” เพื่อถ่ายรูปอวดกัน เสร็จแล้วก็ปีนป่าย โพสท่าถ่ายรูปไม่รู้กาลเทศะ นั่นแปลว่าเขา “เข้าไม่ถึงคุณค่าที่แท้จริง” เขาไปได้แค่เปลือก จึงไปนั่งถ่ายรูปบน “ขอบหน้าต่างศาลาการเปรียญ” ของวัดเชิงท่า จนบิ่น พัง ฯลฯ เพราะคนไม่ได้เอาสาระจริงจัง แต่เอาฉากถ่ายรูปเท่านั้น
7) ละครก็คือละคร มันเพียง “ยืม ประวัติศาสตร์ไปช่วยเล่า แต่กระทรวงควร “เล่าประวัติศาสตร์” ด้วยสื่อและการลำดับความสมัยใหม่ คือเล่าให้ง่าย กระชับ ได้ประเด็น ได้ใจความ ลองเข้าไปในยูทูบสิครับ เล่าเรื่องฟอลคอน ท้าวทองกีบม้า พระเพทราชา ท่านโกษาปาน ฯลฯ กันอุตลุด มีคนดูคลิปละเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ข้อมูลผิดๆ ถูกๆ อ่านออกเสียงผิดๆ ถูกๆ ไม่ได้น่าฟังเลย กระทรวงวัฒนธรรมตามทันไหม ผลิตทันไหม หรือจะให้กระทรวงศึกษาธิการทำ หรือกระทรวงดิจิทัลฯมาช่วย เราไม่เห็นการบูรณาการกัน “สร้างสื่อ” ที่จะเป็น “ภูมิปัญญา” หรือ “ความรู้ถาวร” เรามัวแต่หมกมุ่นกับดารา กับละคร จนไม่ทำหน้าที่ “เติมเต็ม” องค์ความรู้เข้าไป ในระหว่างที่คนกำลังสนใจตัวละครและเรื่องราวของมัน
เงิน 400 ล้านบาทนี้ จึงมีอะไรให้คิดกันมากกว่าที่ “ระบบราชการ” จะจินตนาการได้เอง โดยเฉพาะในหมู่คณะรัฐมนตรี การนำเอกชนมาช่วยเสนอแนะเช่นนี้จึงดีแล้ว แต่เอาข้อเสนอของเขาไป “ตกผลึก” ได้หรือไม่ และเห็น “ศักยภาพของตนเอง” ที่จะช่วย “เติมเต็ม” องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์และความเป็นไทย คลอไปกับละครยอดนิยมได้หรือเปล่า โดยที่ละครจบแล้ว แต่ความรู้ที่เสียบที่ใส่เข้าไปอย่างทันการณ์และเหมาะสม น่าสนใจนั้น กลายเป็น “ปัญญาถาวร” ในหมู่ประชากรของสยามประเทศ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี