1.พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เคารพ (กล่าวย้ำ3 ครั้ง 3 หน)
@ ผม ต้องกล่าวถึง พ่อแม่พี่น้องฯ ถึง 3 ครั้ง เพราะเรื่องที่จะกล่าวถึง เป็นเรื่องสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งวันนี้ ผมจะมากล่าวปาฐกถา ที่มีความหมายและความสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยต่อหน้า พระสยามเทวาธิราชเจ้า ศาลหลักเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทยอันเป็นที่รักเคารพของชาวไทยเรา
ผม นายราษฎร์ รักไท เป็นราษฎร์เต็มขั้น เป็นสามัญชน ที่เกิดในแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ผ่านการเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยมาทุกครั้งตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จนมาถึงวันนี้
@ โดยได้รับการอบรมสั่งสอนฯ ให้ยึดมั่นด้วยชีวิต ว่า“การกตัญญู คือ เครื่องหมายของคนดี” โดยเฉพาะการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และการเคารพเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
2.พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เคารพ
@ เหตุการณ์วิกฤติทางประวัติศาสตร์ไทยครั้งล่าสุดก่อตัวขึ้น ในปี 2544 เมื่อนักธุรกิจการเมือง ได้ก้าวจากเบื้องหลังมาสู่เบื้องหน้าทางการเมือง โดยการก่อตั้งพรรคการเมืองทุนสามานย์ เขาที่ไม่เคยบรรลุความสำเร็จ จากการมีธรรมาภิบาล แต่ร่ำรวยมหาศาลจาก “การหิ้วกระเป๋าให้นักการเมือง” และการได้ “ธุรกิจสัมปทาน” ที่จ่ายเงินให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองในยุคนั้น ทำให้ได้ครองธุรกิจผูกขาดฯ สร้างความร่ำรวยหมื่นล้าน (จากการเอาเปรียบนักธุรกิจและนายทุน ที่ยึดกติกาและการมีธรรมาภิบาล) แล้ว ทุ่มเงินซื้อ สส. ซื้อพรรคซื้อ สว. นักธุรกิจอิทธิพลท้องถิ่น และข้าราชการ ตำรวจ ฯลฯ (ช่วยหาเสียง)ทำให้ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แล้วใช้อำนาจรัฐ “ทางบริหาร นิติบัญญัติ
และตุลาการ รวมทั้งองค์กรอิสระ”
1.ทางบริหาร ใช้งบประมาณประเทศ เพื่อสร้างอำนาจและความนิยมในตัวเองและพรรคการเมืองของตนมีคำขวัญ “ให้งบประมาณ จังหวัดที่เลือกพรรคของตน ไม่ให้หรือให้น้อยในจังหวัดที่ไม่เลือกพรรคของเขา”ใช้อภิมหาโครงการต่างๆ โดยมีการโกงคอร์รัปชั่น มีเงินทอนหลายแสนล้านแก่ตนเองครอบครัว และสส.ของตนเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม จากตำรวจ อัยการฯ และดีเอสไอ และหน่วยงานราชการฯดึงมาเป็นพวกพ้อง
2.ทางนิติบัญญัติ ใช้สส.(เสียงข้างมาก) แก้กฎหมายแก้รัฐธรรมนูญ(ซึ่งผิด) เพื่อตัวเองและพวกพ้อง
3.ทางตุลาการ ใช้อำนาจรัฐอำนาจเงิน(ถุงกระดาษ) แทรกแซง ในหลายคดี รวมทั้ง “คดีซุกหุ้นภาคหนึ่ง” ที่สร้างนิยายเป็นคนดีของประชาชนทำผิดได้ สร้างกระแส “มาจากการเลือกตั้ง ไม่ผิดกฎหมาย”ไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกา “มีความผิดจำคุก” หนีคดีไปต่างประเทศเป็นบรรทัดฐานให้น้องคลานตาม
4.องค์กรอิสระ ดีเอสไอ ที่ใช้การแทรกแซง ให้เกิดการเปลี่ยนสีทำให้คดีเผาบ้านเผาเมืองพลิกผัน “คนเผาไม่ผิด แต่มาเอาผิดที่เจ้าหน้าที่รัฐทหารฯ ที่ออกมาปกป้องรักษาบ้านเมือง ฯลฯ องค์กรสื่อ ทั้งของตนเอง และกลุ่มทุนธุรกิจ ใช้เป็นเครื่องมือปกป้องตนเอง โจมตีใส่ร้ายผู้อื่นฯและโฆษณาชวนเชื่อ มอมเมาชาวบ้านและกลุ่มเสื้อแดง ให้เข้าใจผิด “อ้างว่าตนไม่ผิด ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย” ฯลฯ
สุดท้าย ที่สำคัญและร้ายแรงที่สุด คือ “การกล่าวหาใส่ร้ายบิดเบือน ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ” ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งการสนับสนุน ซ่องสุมกลุ่มคนที่มีคติและคิดร้าย ต่อสถาบันหลักของชาติซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนไทย ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทนไม่ได้ และจักไม่ทนอีกต่อไป
3.พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่เคารพ
@ วันนี้ ผม “นายราษฎร์ รักไท” จะมากล่าวถึง “เรื่องทางรอดของสังคม”
โดยต้องเรียนความจริงว่า “ทางออกของสังคมไทย ตีบตัน มืดมัว แก้ยากที่สุด” เพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสังคมไทยอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในเวลาที่ผ่านมา ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านวัตถุต่างๆและการสื่อสาร ฯลฯ ยิ่งทำให้สังคมซับซ้อนสับสน รวมทั้งจากอำนาจรัฐระดับโลก ระดับประเทศ และท้องถิ่นที่ไม่มีเอกภาพ มีหลายขั้วหลายฝักฝ่ายที่ทั้งใช้และถูกใช้โดยองค์กรและสถาบันที่สูงกว่าต่อภาคส่วนต่างๆ ข้อมูลข่าวสาร แทนที่จะสามารถให้ “ความจริง” ได้อย่างถูกต้อง กลับมีการใช้
ความเท็จ Fake News จากอีกฝ่าย ที่แสวงหาผลประโยชน์จากการสับสนของข้อมูลข่าวสาร ให้ร้ายแก่ฝ่ายอื่นและให้คุณต่อฝ่ายตน
ประเด็นสำคัญ คือ “ทุกคนทุกฝ่าย” ต่างใช้พลังอำนาจที่ตนมีอยู่(การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม) “เอา” ไปจากสังคม ทั้งงบประมาณทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรบุคคล แทน “การให้” ต่อสังคมทำให้“สังคม” และ “ผู้ที่อ่อนแอกว่า” ยิ่งอ่อนแอลง กลายเป็นเครื่องมือที่“คนมีอำนาจ” ดูดและใช้หากินขณะที่ ผู้นำระดับรัฐบุรุษ และนักทฤษฎีฯ ที่“รู้จริง ตามสภาพความเป็นจริงของสังคม” มีน้อย ขาดแคลนผู้นำ และผู้ที่ได้เปรียบ ต่างเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด มิได้ “ลงคิดลงแรงลงทุน” เพื่อช่วยกอบกู้ภัยวิกฤตินี้หนทางการแก้วิกฤติ จึงค่อนข้างมีปัญหาอุปสรรค และยากมากต่อการแก้ไข
2.การถูกอำนาจทุนสามานย์ ที่ใช้อำนาจรัฐที่มิชอบ สร้างไว้ (ตามที่ได้กล่าวมาในข้อแรก) โดยอาศัย ระบบอุปถัมภ์ ระบบบริโภคนิยมระบบข้าราชการที่รวมศูนย์ ระบบทุนที่ผูกขาดมาใช้ในระบบการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ที่ระบบและกระบวนการยุติธรรมอ่อนแอและไม่เป็นธรรมและทั้งจุดที่สำคัญ คือรัฐธรรมนูญที่ขาดสภาพบังคับ ไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดที่ทำอาชญากรรมต่อแผ่นดินหาก “บุคคลคนนั้น หรือพรรคการเมืองพรรคนั้น” มีอำนาจรัฐ อำนาจสื่อ อำนาจทุน อำนาจข้าราชการ(ที่ไม่ดี) รวมทั้ง การมีเหล่าบริวารเป็น นักการเมือง สส. สส. อบจ. เทศบาลสจ. อบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน (ที่ไม่ดี) และการสร้างเครือข่ายมวลชนระดับภาคและประเทศ เป็นเครื่องมือในการรุกรานคนอื่นและปกป้องตนเอง “เจ้าตัวที่เก่ง แต่ใช้ความรู้ระดับปริญญาเอก ความเป็นตำรวจและเจ้าของพรรคการเมือง” เพื่อตนเองใช้วิธีการทั้งดีและไม่ดี ถูกและผิดชอบและมิชอบด้วยกฎหมาย ขาดคุณธรรมและสำนึกของการเป็นคนดีมอมเมาชาวบ้าน ใช้ระบบทุน อุปถัมภ์ ทำให้ชาวบ้านยอมจำนน หวังพึ่งพาหลงเชื่อ พระเจ้าองค์ใหม่การทำลาย “คนที่เคยมีอุดมคติ” ที่ผิดหวังให้เข้ามาสวามิภักดิ์ เพียงเพื่อตนเองได้เป็นสส.รัฐมนตรี
โดยสรุป คือ “คนและพรรคการเมืองนี้” เอาทุกอย่าง ไปจากประชาชนและประเทศชาติทั้งงบประมาณ ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรบุคคลฯ เพื่อตนเองครอบครัวและพวกพ้องบริวารในพรรคทำให้ประเทศเกิดวิกฤติ ประชาชนอ่อนแอ และนักการเมืองไม่มีคุณภาพข้าราชการไม่ดีวิ่งประจบเข้าหานายไม่ได้ให้ “ความจริง ความดีและประโยชน์ต่อส่วนรวม” ทั้งในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันและอนาคตที่จะมาถึงสิ่งที่ให้แก่สังคม คือ “การกล่าวเท็จ หลอกลวง กล่าวหาโจมตีคนอื่น รวมทั้งสถาบันที่ประชาชนรักเคารพ” แต่สร้างอคติ มารยาภาพว่า “ตนและพรรคของตนดี” ทำเพื่อประชาชนมากกว่าพรรคการเมืองและใครผู้ใดฯทางออกที่ยากมากนี้ ทำให้คนส่วนหนึ่งที่เคยต่อสู้มาอยู่เฉยๆ เพราะ คิดว่า “การแก้ปัญหาถึงขั้นวิกฤติแก้ไม่ได้” แต่“คนอีกส่วนหนึ่ง” ถือว่า เป็นหน้าที่ที่จักต้องกอบกู้แผ่นดิน โดยเริ่มต้นจากการแสวงหาความจริงของสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี