1.มองสังคมไทยตามความจริง ด้วยความรู้ สติปัญญา จะเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้ถูกต้องสังคมไทยที่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง ภูมิประเทศเป็นศูนย์กลางของอาเซียนฯ ควรเจริญก้าวหน้าไปไกลแต่จากการบริหารการปกครองตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา โดยเฉพาะ ยุคทักษิโณมิกโดยทุนสามานย์ 2544 ที่คนไทยชนชั้นนำต่างๆ โดยเฉพาะรัฐบาลจากการเลือกตั้ง “เอาไป” จากสังคมอย่างมโหฬาร แต่ให้คืนน้อยทำให้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์ ที่ไม่ได้รับการพัฒนาคุณภาพจึงทำให้ประเทศทั้งการเมืองเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและกระบวนการยุติธรรมอ่อนแอ ด้อยประสิทธิภาพอีกทั้งทำให้เกิดความสับสนซับซ้อน ยากต่อการแก้ปัญหาที่สะสมจนกลายมาเป็นวิกฤติหนักขึ้นเรื่อยๆ
@ ที่สำคัญ สังคมไทยไม่มีเอกภาพ เหตุมีหลายอำนาจหลายสถาบัน ที่มีอำนาจเฉพาะส่วนของตน ทั้งทางตรงทางอ้อมทางแฝง ทั้งอำนาจรัฐ ส่วนเป็นรัฐบาล กองทัพ อำนาจข้าราชการบางส่วนที่ไม่ขึ้นหรือรับคำสั่งจากรัฐบาลโดยตรง(หรืออ้อม) อำนาจทุน อำนาจของนักการเมืองและพรรคการเมืองเก่า ฯลฯ ที่ผ่านระบบการเลือกตั้ง(ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม) อำนาจสื่อ อำนาจวิชาการ อำนาจของกระบวนการยุติธรรม อำนาจของคนชั้นกลางและประชาชน อำนาจของมหาอำนาจต่างชาติและบางประเทศที่มีอิทธิพลและผลประโยชน์ในสังคมไทย ทั้งความคิด การเมืองเศรษฐกิจ ที่สำคัญอย่าลืมอำนาจของระบอบทุนสามานย์ ที่ยังคงมีบทบาท ทั้งทางตรงอ้อมและแฝงอยู่ในภาคส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
2.การมองภาพรวมของโลก ที่ส่งผลสะเทือนต่อ ประเทศไทย ในทัศนะของ “ยุคศรีอาริยะ” โดย ทฤษฎีความอลวน Chaos theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วน ไร้ระเบียบ (random/stochastic) และระบบที่มีระเบียบ (deterministic) “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” (จาก “butterfly effect”) “ยุคศรีอาริยะ” มองว่า สภาพสังคมไทยและโลก อยู่ในสภาพของการสับสนซับซ้อนปั่นป่วนฯลฯ จากการเป็นขาลงของภาวะที่โชติช่วงชัชวาล ในช่วงก่อนหน้านี้(ที่ทำอะไร ก็ดูดี สำเร็จได้ผลไปหมด )แต่ในภาวะนี้ ทำอะไร กลับติดขัด ภาวะทั้งของโลกและของประเทศไทย ไม่มีอะไรง่ายไปอีกแล้วเหตุจากการสะสมปัญหาวิกฤติทั้งระบบ (การเมืองเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมกระบวนการยุติธรรมสิ่งแวดล้อม) โดยปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีการแก้ไข ไม่มีผู้นำระดับรัฐบุรุษของโลกและของประเทศไทย มาเป็นผู้นำการแก้ไขทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “ระบบเปลี่ยน คนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน จากเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป”
3.ความอ่อนแอและความอับจนทางความคิดของชนชั้นนำแต่ละกลุ่มและสถาบันในสังคมไทยฯ คิดน้อย ขาดการศึกษาทำความเข้าใจแนวทางการแก้ไขปัญหาของตนและของประเทศตามสภาพความเป็นจริงแต่มักไปลอกเลียนแนวคิดทฤษฎีในการแก้ไขปัญหาของประเทศและปัญหาต่างๆ ของสังคม (Import) ตั้งแต่ คณะราษฎรฯ คณะนายทหารที่ทำการรัฐประหารฯ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แผนสภาพัฒน์ กลุ่มเอ็นจีโอ ภาคประชาสังคม กลุ่มสิทธิ กลุ่มสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ และปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ที่มาตลอดคือ กลุ่มและสถาบันต่างๆ มีความคิดของตน มีวิธีคิดของตน และเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามความคิดและแก้ปัญหาของตนมากกว่าแก้ปัญหาส่วนรวม ฯลฯ ใช้การมองแบบอัตตวิสัยตามความรู้สึกตน ไม่เข้าใจภาววิสัยที่เป็นจริง : เมื่อไม่ทำตาม จะตอบโต้อย่างรุนแรงเช่น นักการเมืองเก่า นักวิชาการ นักธุรกิจ นักเคลื่อนไหวเรื่องต่างๆ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน สื่อสารมวลชน ฯลฯ (ซึ่งหลายภาคส่วนที่กล่าวมา มักจะมีการประสานกับหน่วยงานและสถาบันจากต่างประเทศที่คิดคล้ายกัน) การนำเข้าความคิดต่างๆ เป็นความจำเป็นฯ แต่ประเทศ ที่ประสบความสำเร็จฯ เขานำมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยที่เป็นจริง และเมื่อได้ทำไป เวลาผ่านไป ต้องมีการสรุปบทเรียนแล้วแก้ไขปรับปรุงไปไม่หยุดสิ่งนี้ คือ “สิ่งสำคัญที่ ประเทศไทยขาด ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง รีบด่วน ทำทันที”
4.การได้มาซึ่งอำนาจรัฐยากมาก แต่การรักษาอำนาจรัฐและสร้างความมั่นคงยิ่งยากกว่า เพราะได้มาแต่อำนาจรัฐ แต่นักการเมือง ข้าราชการ กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในระบอบทุนสามานย์ ฯลฯ ยังอยู่ซึ่งจะเห็นได้จากการสร้างสถานการณ์สร้างข่าว กล่าวหาก่อกวนรัฐ ในรูปแบบต่างๆ แม้แต่เรื่องรัฐธรรมนูญ ก็มีการเคลื่อนไหวใหญ่โต แต่ประชามหาชนส่วนใหญ่ไม่ยอม จึงแพ้ไปราบคราบฯฉะนั้น ในขั้นต้นของรัฐบาลประยุทธ์ จึงต้องเสริมกำลังที่ไว้ใจได้ มาปกป้องรักษาสถานะของรัฐบาลฯ
5.สภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกสังคมไทย มีผลต่อการแก้วิกฤติที่สะสมกันมาอย่างต่อเนื่องการจะแก้ปัญหาวิกฤตโดยผู้นำไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายต่อไปอีกแล้ว
1) ผู้นำฯที่แย่ : ยิ่งจะทำให้สังคมการเมือง ทรุดลงไป หนักขึ้น เสียหายมากขึ้น ทั้งประชาชนและบ้านเมือง
2) ผู้นำที่ดี : ทำได้เพียงแต่ “แก้ปัญหาที่ผ่านมา และประคับประคอง ไม่ให้รุนแรงและทรุดตัวลง
3) ผู้นำรัฐบุรุษ : จักสามารถนำพาประเทศ ก้าวพ้นจากหลุมแห่งวิกฤติและปัญหาที่สะสมกันมาแต่ก็ต้อง มีอำนาจเบ็ดเสร็จ มีความกล้าหาญ กล้าเสียสละ กล้าตัดสินใจ ตัดเนื้อร้าย สร้างสิ่งที่งามขึ้นมา
6.แต่ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ผู้นำฯจักต้องสามัคคีผู้คน กลุ่มคนและสถาบันฯที่สำคัญของสังคม มาร่วมกันโดยเฉพาะยิ่ง หากเราต้องบริหารประเทศไปในแนวทางของระบบรัฐสภาแบบเลือกตั้ง (ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม) จำเป็นยิ่ง ที่ผู้นำรัฐฯ จะต้องสามัคคีร่วมมือกับพรรคการเมืองของประชาชน ในการแก้วิกฤตินำพาชาติ
7.เมื่อเข้าใจสภาพดังกล่าว จึงสามารถตอบปัญหาค้างคาใจไม่เข้าใจของสังคม ต่อ นายกประยุทธได้
ทำไม : รัฐบาล คสช.จึงมีนายทหารและข้าราชการฯ มาร่วมมากทำให้ภาพไม่สง่างาม
ทำไม : รัฐบาลประยุทธ์ มีอำนาจเต็มที่ กุมทุกอย่างแล้ว มีโอกาสแล้วไม่ทำ
ทำไม : จึงไม่ทำ ไม่ปฏิรูปทันที่ ไม่ปฏิรูปให้เสร็จก่อน จึงจะมีการเลือกตั้ง
ทำไม : การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ การกระจายอำนาจ การคอร์รัปชั่น ฯลฯ ยังไม่แล้วเสร็จฯ
ทำไม : ชาวบ้าน คนจน คนระดับล่าง ยังยากจนอยู่ การค้าขาย
มีน้อยลงฯ
ทำไม : รัฐบาล ต้องอยู่นาน ทำไม ไม่รีบคืนอำนาจให้กับประชาชน (ให้นักการเมืองเลือกตั้ง )
ทำไม : รัฐบาล จึงไม่ช่วยคดีที่ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง
ทำไม : ไม่แก้ปัญหาพลังงาน น้ำมัน ทำไมเอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ
l ท้ายสุด มีคำถามสวนกระแส ว่า “ทำไม ลุงตู่ฯ จึงไม่จัดการกับระบอบทักษิณและพวกก่อกวนอย่างเด็ดขาด”
คำตอบ คือ ลุงตู่ มีจิตใจประชาธิปไตย รักปรารถนาดีต่อทุกคนที่เป็นคนไทย ด้วยทำงานหนักจริงจังจริงใจ เพราะหวังให้ ทุกคน หน่วยงานสถาบันฯ ต่างๆ ได้รับการแก้ไขปรับปรุงไปตามระบบกติกาของสังคมและหวังให้มีการสานต่องานที่ค้างอยู่ ให้ดำเนินต่อไป ด้วยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี