ผลพวงของการส่งเสริมสิทธิสตรีให้ทัดเทียมกับเพศชาย ได้เปิดโอกาสในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยได้จารึกบทบาทผู้นำองค์กรของสตรีในสาขาอาชีพต่างๆ มากขึ้นเป็นลำดับเพราะโดยพื้นฐานแล้ว สติปัญญา และขีดความสามารถของเพศหญิงนั้นก็มิได้ยิ่งหย่อนกว่าเพศชายแต่อย่างใด ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าภูมิอกภูมิใจที่โลกเราพัฒนาไปสู่ความเท่าเทียม อันยังประโยชน์แก่การใช้ทรัพยากรบุคคลได้เต็มความสามารถโดยที่ไม่มีประเด็นเรื่องเพศมาเป็นข้อจำกัดอีกต่อไป
ณ วันนี้ แม้แต่ตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงสุด คือประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ก็มีสตรีขึ้นดำรงตำแหน่งให้เห็นแล้ว และก็ทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย ดังนั้นในตำแหน่งอื่นๆ ทั้งในระบบราชการหรือเอกชน หากจะมีสตรีเป็นผู้บริหาร ก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งแม้วันนี้จะมีสัดส่วนส่วนผู้บริหารชายมากกว่าหญิง แต่ในอนาคต ก็คงหนีไม่พ้นการมีสัดส่วนทั้งสองเพศใกล้เคียงกันในตำแหน่งบริหารองค์กรต่างๆ อย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าโลกจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร ก็ยังคงมีตำแหน่งหนึ่ง ที่เรียกว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับสตรี นั่นคือ ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของประเทศกำลังพัฒนา) เพราะกองทัพที่ส่วนมากเป็นเพศชายนั้น ยังมีความรู้สึกกันว่า สตรีเพศนั้นไม่เหมาะกับงานที่เกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือการรบการศึก นอกจากนั้น หากจะยอมให้สตรีเพศมาปกครองชายชาติทหาร ก็ดูจะทำให้เสียหน้าเสียตา เสียศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็สะท้อนการดำรงอยู่ของกรอบความคิดและค่านิยมที่เพศชายเป็นใหญ่ ที่มีกันมาช้านาน
แต่อย่างไรก็ดี ความรู้สึกนึกคิดย่อมสามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย โดยในโลกสมัยใหม่ที่ยอมรับกันแล้วว่า หญิงมีขีดความสามารถทัดเทียมเท่ากับชาย จึงเปิดโอกาสให้มีการยอมรับกันด้วยความสามารถมากกว่าความเป็นเพศใด
และในโลกของเรา จนบัดนี้ ได้มีรัฐมนตรีกลาโหมหญิงถึง 93 คนแล้ว โดยของไทยก็ติดอันดับกับเขาด้วย นั่นคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยปัจจุบัน สตรีที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมล่าสุดก็คือ รัฐมนตรีกลาโหมของอิตาลี และสเปน ทั้งนี้กลุ่มประเทศที่มีจำนวนรัฐมนตรีกลาโหมหญิงมากที่สุดคือ กลุ่ม
ยุโรปตะวันตก และภายในกลุ่มนี้ กลุ่มย่อยออกมาคือ พวกประเทศสแกนดิเนเวีย
ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา อเมริกากลางมีสัดส่วนสูงกว่าสตรีที่อื่น ในขณะที่เอเชีย เรามีลักษณะเฉพาะ เช่นใน อินเดีย ปากีสถานบังกลาเทศ ศรีลังกา และไทย ที่บุคคลจะมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมได้ มักจะต้องควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย และนายกรัฐมนตรีของประเทศดังกล่าวต่างเป็นเพศหญิง
โดยกรณี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจัดได้ว่าเป็นกรณีพิเศษจริงๆ เพราะเป็น นายกรัฐมนตรีหญิงและรัฐมนตรีกลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทย ส่วนนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนอื่นๆ ที่เคยควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วย ก็มีแต่เพศชายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายชวน หลีกภัย นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ลักษณะการควบตำแหน่งเช่นนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
1. กองทัพนั้นยังมิได้เปิดรับการบริหารงานจากพลเรือน นอกจากจะเป็นผู้นำประเทศเท่านั้น
2. กองทัพมิได้เปิดรับการบริหารงานของสตรี นอกจะสตรีนั้นจะมีตำแหน่งผู้นำประเทศดังกล่าว
3. ฝ่ายการเมืองยังดูเกรงอกเกรงใจฝ่ายกองทัพอยู่ ที่จะตัดสินใจเอานักการเมืองพลเรือนอื่นที่มิได้เป็นนายกรัฐมนตรี
4. การยึดตัวบุคคลเป็นหลักว่า ต้องเป็นนายทหารมาก่อน หรืออย่างน้อยถ้าเป็นพลเรือนต้องเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย แทนที่จะเอาเรื่องนโยบายและบทบาทในเรื่องการดำเนินการนโยบายของตัวรัฐมนตรีกลาโหมเป็นที่ตั้ง
ในภายภาคหน้าเพื่อการเป็นสังคมประชาธิปไตยของไทย ที่ฝ่ายข้าราชการประจำทหารต้องขึ้นกับฝ่ายการเมืองพลเรือน ก็ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้ “คนนอก” ที่มิใช่ทหารมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และคนนอกนั้นมาโดดๆ ไม่ต้องควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคนนอกจะเป็นเพศชาย หรือเพศหญิงก็ได้ ถ้าได้เพศหญิงก็ยิ่งดี ซึ่งนอกจากจะไม่น้อยหน้าใครแล้ว ยังแสดงว่าการเมืองไทยได้เข้าระดับสากลแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี