สัปดาห์ที่แล้วพูดถึงหัวหน้าฝ่ายบริหาร เพื่อพาประเทศให้เจริญก้าวหน้า จะต้องมีความเป็นผู้นำที่ดี (Good leadership) และมีความกล้าหาญชาญชัย (Courage) ที่จะผจญกับความไม่ถูกต้อง
กล้าหาญที่จะแก้ปัญหา ไม่ยอมออมชอมกับความชั่ว หรือสิ่งที่ผิด กล้าทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครกล้าทำ เพื่อแก้ปัญหาของชาติ เพื่อปลดล็อกความล้าหลัง ระบบ red tape ของทางราชการ และอุปสรรคต่างๆ ของประเทศ
ก็พอดีมีตัวอย่างของประเทศเอสโตเนีย ที่พึ่งได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) จากสภาพประเทศที่ถูกสหภาพโซเวียตผนวกไว้ เมื่อปี ค.ศ.1710 หรือ พ.ศ.2246 เป็นเวลากว่า 300 ปีมาแล้ว จึงไม่เจริญก้าวหน้า ชาวเอสโตเนียกว่าครึ่ง ยังยากจน และยังไม่มีโทรศัพท์ตามบ้านใช้ด้วยซ้ำ
พอ 20 ปีให้หลัง เอสโตเนียกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนมีรายได้สูง ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมต่างๆ ก้าวกระโดดไปอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก
รายได้เฉลี่ยของประชาชนต่อปี เมื่อ พ.ศ.2534 ประมาณพอๆ กับประเทศไทย คือ อยู่ในระดับรายได้ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ ก็ได้ก้าวกระโดดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นกว่า 20,000 ดอลลาร์ต่อปี ภายในระยะ 20 ปี ส่วนของไทย พยายามมา 50 ปี แล้วยังก้าวไม่พ้นกับดักรายได้ปานกลาง
เหตุผลในการก้าวกระโดดของประเทศเอสโตเนีย ซึ่งถึงแม้ประธานาธิบดี (ประมุขของรัฐ) คนแรก คือ Mr.MERI จะเป็นคนสูงอายุวัย 71 ปี แต่ก็ได้สนับสนุนให้มีนายกรัฐมนตรี (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) เป็นคนหนุ่มวัยเพียง 32 ปี คือคุณ Maat Laar พร้อมกับคณะรัฐมนตรีที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะมีอายุโดยเฉลี่ยเพียง 35 ปี คนหนุ่มเหล่านี้มีความกล้าหาญ (courage) มีความมุมานะที่จะทำให้ประเทศพ้นความยากจน และความล้าหลังให้ได้ หรือนัยหนึ่ง มี Political will อันแน่วแน่ ประกอบกับการมีเสถียรภาพทางการเมือง (Political Stability) ภายใต้การสนับสนุนของคุณ MERI ประธานาธิบดีคนแรก จึงทำให้สามารถสร้างประเทศเอสโตเนีย ให้อยู่ในระดับแนวหน้าได้ในระยะเวลาเพียง 20 ปี โดยการปฏิรูปประเทศด้วยคนรุ่นใหม่ อายุน้อย ที่ยังเต็มไปด้วยพลัง ความกล้าหาญ และความตั้งใจอันแน่วแน่ ที่จะปฏิรูปประเทศ ซึ่งเริ่มขึ้นโดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ขององค์กร (ที่ดูแลโดยสหภาพแรงงาน) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศเป็นอันดับแรก ให้ความรู้ได้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึง เพียง ค.ศ.1998 หรือ พ.ศ.2541 ทุกโรงเรียนมี internet ใช้ฟรี และเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ทั้งหมด และในอีก 2 ปีต่อมา internet ฟรี ก็ไปถึงประชาชนได้ทั่วทั้งประเทศ
นอกจากนั้น ยังได้ส่งเสริมนวัตกรรมทุกๆ ด้าน มีบริษัท Start up เกิดใหม่ปีละ 14,000 บริษัท ขณะนี้ การศึกษา เปิดให้ทุกคนเรียนฟรี และรับการรักษาพยาบาลฟรี
จึงเป็นประเด็นที่น่าคิดว่า ประเทศไทยเราจะไปทางไหนจึงจะก้าวกระโดด (frog leg) ไปยังที่ เอสโตเนีย, ลิทัวเนีย, ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย ยืนอยู่ ได้อย่างเขา
จุดเด่นของเอสโตเนีย คือ การเอาทีมคนหนุ่ม-สาว เข้ามาบริหารประเทศ คนหนุ่ม-สาว ก็เหมือนกับผ้าขาวที่ยังไม่แปดเปื้อนสิ่งโสโครก หรือการเมืองน้ำเน่า ยังเต็มไปด้วยอุดมการณ์ ความตั้งใจทางการเมืองที่แน่วแน่ (Political Will) ความกล้าหาญ (courage) ในการตัดสินใจ ไม่ต้องกลัวการลูบหน้าปะจมูก ไม่มีผลประโยชน์ของฝ่ายใดที่จะต้องไปประนีประนอม ไม่มีผลประโยชน์ของพรรคใด หรือกลุ่มธุรกิจใดๆ ที่จะต้องไปออมชอมให้ ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน หรือครอบครัวที่จะต้องรักษา
ลี กวน ยู เอง ก็เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่ออายุเพียง 36 ปี มหาเธร์ ก็เช่นกัน เมื่ออายุเพียง 56 ปี นับว่ายังเป็นคนหนุ่มไฟแรงอยู่
ส่วนของเรา เห็นจะทำได้ยาก เนื่องจากวัฒนธรรมของไทย ที่ให้ความเคารพนับถือต่อผู้อาวุโสก่อน เช่น เจ้านายเก่า ผู้บังคับบัญชาเก่า เพื่อนร่วมรุ่นเก่าๆ และรัฐธรรมนูญในระบอบ Parliamentarian Democracy ที่เอาฝ่ายนิติบัญญัติ (สส., สว.) มาเป็น electoral body หรือเป็น คณะผู้เลือกตั้ง หัวหน้าฝ่ายบริหาร ใครถูกเลือกมาแล้ว ก็จำต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับ สส., สว. ที่เลือกตนมาเป็นนายกรัฐมนตรี คอร์รัปชั่นก็เริ่มมาจากจุดนี้
เมื่อวัฒนธรรมไทยเป็นของเปลี่ยนยาก และต้องใช้เวลานาน ทำไมเราไม่คิดค้นที่จะเปลี่ยนเพียงหลักการในรัฐธรรมนูญ โดยไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ (สส., สว.) มาเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ฝ่ายบริหารอีกต่อไป เพื่อสกัดต้นตอที่ถ่วงความเจริญของประเทศไทย มา 86 ปี นับจากปี พ.ศ.2475 อันได้แก่ การเมืองน้ำเน่า ธุรกิจการเมือง การดูดเสียง การซื้อเสียง และคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร จนลุกลาม และแพร่หลายไปสู่ข้าราชการแทบทุกระดับ และแทบทุกแขนงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอนวัด เงินช่วยการศึกษานักเรียน เงินช่วยเหลือคนจน ฯลฯ
และมาค้นหาวิธีที่จะเอาใครมาเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของฝ่ายบริหารจึงจะเหมาะสม ทั้งนี้ โดยไม่เกี่ยวพันกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ที่ดีอยู่แล้ว
หากดูในประวัติการเมืองและการปกครองของประเทศเรา จาก 86 ปีที่ผ่านมา (จากปี พ.ศ.2475) มีรูปแบบเข้าสู่อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ดังนี้
อำนาจนิติบัญญัติ ประชาชนที่มีคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ที่จะเลือกผู้เข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส., สว.) แทนตน ซึ่งก็ดี และเป็นสากลอยู่แล้ว
อำนาจตุลาการ บรรดาตุลาการมืออาชีพที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ จะเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) เพื่อเลือกคณะกรรมการตุลาการ อันเป็นองค์กรสูงสุดของอำนาจตุลาการ
อำนาจบริหาร คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ที่จะเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) มิได้มาจากมืออาชีพทางด้านบริหารเลย แต่กลับกลายเป็น สส., สว. ที่เราเลือกมาออกกฎหมาย มาควบคุมกำกับดูแลฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ เข้ามาเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) เสียเองโดยเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารที่เป็นใครก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพทางด้านบริหาร
ผลที่เกิดในระยะ 86 ปีที่ผ่านมา จากการที่ไม่แยกอำนาจสูงสุดออกจากกันโดยเด็ดขาด และการคานอำนาจซึ่งกันและกัน
มีการก้าวเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติโดยการซื้อเสียง หรือใช้อิทธิพลข่มขู่ และก้าวเข้าอำนาจบริหารโดยการเอาผลประโยชน์เข้าล่อ โดยการแบ่งปันผลประโยชน์อันมิควรได้ และผิดจริยธรรม และความดีงาม
การคอร์รัปชั่นในวงข้าราชการการเมือง ค่อยๆ ระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ และลุกลามมาถึงข้าราชการประจำ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนแพร่หลายเข้ามาสู่วงการธุรกิจของเอกชน และประชาชนทั่วไป ทำให้ศีลธรรม และจริยธรรมเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนในปัจจุบันทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าช้า และล้าหลัง และอยู่ในฐานะที่อาจจะทำให้ประเทศล่มจนได้
การยึดเอาการเมืองเป็นธุรกิจ เพื่อหาความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ครอบครัว และพรรคพวก ระบาดมากขึ้น คนที่เคยดี ก็ต้องยอมไปสยบนักการเมืองน้ำเน่า เพื่อความก้าวหน้า และความมั่งคั่งของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และคุณธรรมต่างๆ
ประชาชนแบ่งแยกออกเป็นพรรคต่างๆ สีต่างๆ จนเกิดการแตกความสามัคคีขึ้นในประเทศชาติ อาจยกกำลังเข้าเข่นฆ่ากันได้ ตามการยุแหย่ของนักการเมืองน้ำเน่า
------------------
ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่แก้ระบบการเข้าสู่อำนาจให้ดี ยังไม่แก้ให้คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของฝ่ายบริหาร เป็นนักบริหารมืออาชีพแบบฝ่ายตุลาการ เราก็คงจะต้องเผชิญกับวงจรอุบาทว์ (Vicious circle) ต่อไปอีก
ไม่ว่าเราจะมีคนดี มีจริยธรรม มากเท่าใดในประเทศ
ไม่ว่าเราจะมีคนเก่ง มีความรู้ และประสบการณ์ มากเท่าใดในประเทศ
ไม่ว่าเราจะมีคนที่เป็นผู้นำที่ดี (good leadership) สักเท่าใด
ไม่ว่าเราจะมีคนที่กล้าหาญ (Courage) สักเท่าใด
ไม่ว่าเราจะมีคนหนุ่มที่มีอุดมการณ์สักเท่าใด
ไม่ว่าเราจะมีคนที่จิตสาธารณะ และจิตอาสามากเท่าใด
ระบบการเข้าสู่อำนาจ โดยให้ สส., สว. มาเป็นคณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) หัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ก็จะทำให้ประเทศไทย ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์อยู่ตลอดไป
จึงจำเป็นที่เราจะต้องหาทางแก้ไข มิให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เข้ามาใช้อำนาจบริหารด้วย อย่างที่เป็นมาในอดีตจนทุกวันนี้
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี