อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยวันหนึ่ง เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2475
เราเคยได้ยินได้ฟังกันมามากแล้ว เกี่ยวกับความเป็นมาของคณะผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ว่ามีใครร่วมอยู่บ้าง และทำกันอย่างไร แต่ยังไม่มีใครนำเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งมาเล่า นั่นก็คือเหตุการณ์ทางด้านที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งครองราชย์อยู่ในขณะนั้นและถูกปฏิวัติ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
วันนี้ขอนำเรื่องดังกล่าวมาพูดให้ฟัง
เป็นคำบอกเล่าของ “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี” พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้เข้าเฝ้าฯทูลถามถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ณ พระราชตำหนักวังสุโขทัย ซึ่งมีเรื่องราวที่น่ารู้เป็นอย่างยิ่งโดยบันทึกไว้ในหนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย จัดทำโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2516
ขอนำมาเล่าต่อ ณ ที่นี้
ในขณะที่เหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในกรุงเทพฯนั้น เป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแปรพระราชฐานประทับไปอยู่ที่ วังไกลกังวล หัวหิน และในเช้าวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีทรงกอล์ฟอยู่ท่ามกลางบรรดาข้าราชบริพาร
“เช้าวันนั้น รู้เรื่องกันที่สนามกอล์ฟนั่นแหละ” สมเด็จพระนางรำไพพรรณีทรงเล่า “พอเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว พระยาอิศราฯเป็นคนไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ซึ่งในหลวงก็รับสั่งว่า “ไม่เป็นไรหรอก เล่นกันต่อไปเถอะ แต่ฉันจะกลับก่อนแล้ว”
พอเสด็จกลับก็รับสั่งกับฉันว่า “ว่าแล้วไหมล่ะ” ฉันทูลถามว่า “อะไร ใครว่าอะไรที่ไหนกัน” จึงรับสั่งให้ทราบว่ามีเรื่องยุ่งยากทางกรุงเทพฯ ยึดอำนาจ และจับเจ้านายบางพระองค์ ระหว่างนั้นก็ทราบข่าวกระท่อนกระแท่นจากวิทยุ แต่ไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร
ต่อมาในหลวงก็ทรงได้รับโทรเลข มีความว่าทางกรุงเทพฯได้ส่งเรือรบมาทูลเชิญเสด็จกลับ ในหลวงก็รับสั่งว่า มาก็มาซิ หลังจากนั้นเป็นเวลาเที่ยงเศษ หลวงศุภชลาศัยก็มาถึง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (สมุหราชองครักษ์) สั่งให้ปลดอาวุธเสียก่อน จึงจะให้เข้าเฝ้าฯ ทางวังไกลกังวลน่ะก็เตรียมพร้อมอยู่เหมือนกัน ทหารรักษาวัง กองร้อยพิเศษไปตั้งปืนที่หน้าเขื่อน เสร็จแล้วหลวงศุภฯก็ขึ้นมาข้างบนมาอ่านรายงานอะไรต่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่มีความสำคัญว่า ทูลเชิญเสด็จกลับโดยเรือหลวงสุโขทัย
ในหลวงท่านรับสั่งว่า ไม่กลับหรอกเรือสุโขทัยพวกนั้นจึงกลับไป ระหว่างนั้นเราก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร บางคนก็กราบบังคมทูลว่า ให้เสด็จออกไปข้างนอกเสียก่อนแล้วค่อยมาต่อรองกันทางนี้ ท่านรับสั่งว่า “ไม่ได้ ไม่อยากให้มีการรบพุ่งกัน เพราะจะเสียเลือดเนื้อประชาชนเปล่าๆ เจ้านายหลายองค์ก็ถูกจับเป็นประกันอยู่ เพราะฉะนั้นจะยังไม่ทำอะไร แต่ก็รับสั่งว่าจะต้องมาปรึกษาฉันก่อนว่า จะไปหรือจะอยู่ เพราะฉันต้องไปกับท่าน” สมเด็จฯ ทรงเล่า
“เมื่อฉันรู้เรื่องจากในหลวง ฉันก็บอกว่าไม่ไปหรอก ยังไงก็ไม่ไป ตายก็ตายอยู่แถวนี้ ท่านก็รับสั่งว่า ตกลงว่าจะกลับ ในตอนนั้นฉันจำได้ว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว กรมพระกำแพงฯ ซึ่งหนีจากกรุงเทพฯได้อย่างไรไม่รู้ ได้มาขอเฝ้าฯ ท่านบอกว่าไม่มีประโยชน์หรอก เขาเข้ากันได้หมดแล้ว ทุกคนจึงได้แต่ฟังเอาไว้เฉยๆ แต่ก็ตกลงว่าจะเดินทางกลับโดยรถไฟ”
“ฉันมาถึงสถานีสวนจิตรลดาเมื่อประมาณสัก 7 ทุ่มเห็นจะได้ แหมเงียบจริงๆ พอในหลวงเสด็จพระราชดำเนินจากรถไฟ มีราษฎรคนหนึ่งอยู่ที่สถานีเข้ามากราบถวายบังคมแล้วร้องไห้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นใคร อายุประมาณสามสิบกว่าเห็นจะได้ ในหลวงไม่ได้รับสั่งอะไร เราก็กลับมากันที่วังนี่ (วังสุโขทัย) ตลอดทางเงียบแล้วก็เศร้า เราผ่านพระที่นั่งอนันตสมาคมก็ไม่มีอะไร มาทราบเอาตอนหลังว่า บนพระที่นั่งอนันต์ฯเขาตั้งปืนไว้หมด เพราะรู้ว่าเราจะมาทางนั้น”
“จนวันรุ่งขึ้นตอนเย็น ฉันจำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ก็มาเข้าเฝ้าฯขอพระราชทานอภัยโทษ เวลาที่เขามากันนั้นมีรถถังมากันสัก 4-5 คัน จอดอยู่หน้าวัง”
ในการเข้าเฝ้าฯครั้งนี้ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะปฏิวัติได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ในกรณีที่ได้ล่วงละเมิดทำการเปลี่ยนแปลง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงต่อว่าคณะราษฎรในเรื่องคำประกาศในวันปฏิวัติซึ่งมีถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งเป็นการกระทบกระเทือนต่อพระองค์และพระบรมราชวงศ์จักรี คณะราษฎรก็ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานขมาโทษ
วันที่ 27 มิถุนายน 2475 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งได้ประกาศใช้นับแต่วันที่ทรงพระปรมาภิไธย
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ทรงย้อนหลังให้ฟังต่อไปอีกว่า “ความจริงเรื่องปฏิวัตินี่นะ ในหลวงท่านทรงเดาไว้นานแล้วว่าจะมีการปฏิวัติ แต่จะเดาจากอะไรยังไงไม่ทราบ อีกอย่างใครต่อใครหลายคนก็รู้ว่าในหลวงจะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่เหมือนกัน เพราะท่านได้ทรงร่างไว้แล้ว แต่ระหว่างที่ทรงหารือกับเจ้านายผู้ใหญ่ๆน่ะ ก็มีการคัดค้านกันบ้าง ท่านก็เลยรับสั่งว่า ถึงให้ไปก็เหมือนกัน ยังไงก็ต้องมีการปฏิวัติ โดยอ้างว่าไม่พอใจ”
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี