หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยคลี่คลายลง แต่สังคมก็เกิดความกังวลต่อเนื่องทันที (ไม่ใช่เรื่องพรรคไหนทะเลาะกันหรือจะปรับใครเข้า-ออกจากคณะรัฐมนตรี) แต่เพราะรัฐบาลประกาศมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายใต้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 400,000 ล้านบาท โดยให้หน่วยราชการต่างๆ ส่งข้อเสนอแผนโครงการฟื้นฟูเพื่อแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามา
คำแถลงของสภาพัฒน์ ภายหลังจากปิดรับข้อเสนอแผนโครงการฟื้นฟู พบว่ามีหน่วยงานราชการส่งข้อเสนอแผนโครงการ เข้ามาถึงกว่า 4.6 หมื่นโครงการ วงเงินกว่า 1.44 ล้านล้านบาท (ข้อมูลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน) โดยเปิดเผยเป็นตารางข้อมูล โดยมีรายละเอียดที่ประชาชนสามารถเข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นได้บนเว็บไซต์ของสภาพัฒน์ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ มีเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นในการที่จะพิจารณาและต้องส่งต่อไปให้คณะกรรมการกลั่นกรองและส่งโครงการที่ผ่านการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบภายในวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 นี้
ใครหลายคนรวมถึงตัวผู้เขียนเอง ได้ไปลองนั่งอ่านข้อมูลข้อเสนอโครงการต่างๆ ที่ส่งเข้ามา ก็พบว่ามีหลายโครงการมีความน่ากังวลว่านอกจากจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แล้ว อาจจะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณผิดวัตถุประสงค์ ไม่ใช่ภาระหน้าที่โดยตรงของหน่วยงาน และอาจไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจใดๆ ที่คาดหวังไว้ และอาจเป็นการเปิดช่องว่างให้เกิดการคอร์รัปชันตามมาได้อีกด้วย ทางหนึ่งก็เอาใจช่วยคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่ต้องพิจารณาข้อเสนอโครงการโดยละเอียด รวดเร็ว และต้องเลือกโครงการที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริง ซึ่งผู้เขียนก็หวังว่าเมื่อโครงการผ่านการพิจารณาของสภาพัฒน์ และผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จะมีการเปิดเผยหลักเกณฑ์ในการพิจารณาและรายละเอียดทั้งหมดของข้อมูลโครงการเหล่านั้นสู่สาธารณะ อย่างเป็นไปตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐที่ต่างประเทศทำกันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและร่วมติดตามตรวจสอบข้อมูลชุดนี้ได้ อย่างน้อยก็อาจช่วยคลายความกังวลที่เกิดขึ้นในสังคมลงไปได้ส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ำแบบนี้ก็เพราะว่าข้อเสนอโครงการที่เปิดเผยบนเว็บไซต์ของสภาพัฒน์ในขณะนี้ยังมีความยากลำบากในการนำไปวิเคราะห์และประมวลผลต่อ เพราะแต่ละหน่วยงานกรอกข้อมูลมาเหมือนยังไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน เช่น หน่วยงานเดียวกันแต่เขียนกันคนละชื่อ เปิดช่องว่างให้กรอกอะไรก็ได้แบบ free text เป็นต้น อีกทั้งรายละเอียดสำคัญของโครงการไปฝากไว้ใน Google Drive เป็น PDF (ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงถ้าอยากให้เป็นไปตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล) ทำให้ถ้าอยากสืบเสาะแบบเอาจริงเอาจังก็คงต้องไล่อ่านไปทีละไฟล์
ความกังวลใจที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากโควิด-19 ไม่เพียงเท่านี้ แต่ความหวังที่ว่าสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะเป็นที่พึ่งได้บ้างในการทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ก็มีข่าวตั้งแต่วันแรกของการประชุมว่า รัฐบาลส่งคนมาคุมกรรมาธิการ โดยมีความพยายามในการล็อบบี้ตำแหน่งประธานกรรมาธิการให้เป็นคนจาก สส. พรรคแกนนำรัฐบาล อยู่กว่า 2 ชั่วโมงจนสำเร็จ จนมาถึงประชุมครั้งถัดมาก็ยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันภายใน ไม่รู้ว่าภาระหน้าที่ของกรรมาธิการชุดนี้จะสามารถติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณได้แค่ไหน หรือจะกลายเป็นว่ามาช่วยส่งเสริมรัฐบาลให้ใช้จ่ายได้คล่องมากขึ้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งที่จะเป็นข้อพิสูจน์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนคลายกังวลและข้อกังขาได้ ก็คงจะเป็นผลงานของกรรมาธิการเอง และรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการทำหน้าที่ของกรรมาธิการว่ามีการติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากแค่ไหน ผ่านช่องทางที่มีอยู่แล้วอย่างเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ชื่อยาวจริงๆ ลอง google ดูนะครับ)
แล้วก็เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมบทบาทของภาคประชาชนในกระบวนการพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวจนถึงขณะนี้ จึงทำได้เพียงแค่แสดงความคิดเห็น ที่ทั้งต้องระบุชื่อ เลขบัตรประชาชนให้ชัดเจนก่อนจะแสดงความคิดเห็นต่อโครงการใดๆของภาครัฐโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าความเห็นนั้นจะถูกนำไปประกอบการพิจารณามากน้อยแค่ไหน ทั้งที่หลายโครงการที่เป็นข้อเสนอของหน่วยงานรัฐนั้นลงไปทำถึงระดับท้องถิ่น ซึ่งประชาชนในพื้นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง และอีกบทบาทหนึ่งที่ประชาชนทำได้ คือการ “รอคอย” ให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลออกมา ทั้งที่จริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนไว้ในการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ โดยที่ภาครัฐต้องอำนวยความสะดวกในการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญออกมาโดยไม่ต้องรอการร้องขอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วประชาชนควรจะสามารถมีส่วนร่วมส่งเสริมความโปร่งใสให้เกิดขึ้นในการใช้จ่ายงบประมาณมูลค่ามหาศาลดังกล่าว และมีส่วนช่วยรัฐบาลในการติดตามตรวจสอบโครงการ ตามแผนฟื้นฟูเพื่อแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่บทบาทในการร่วมพิจารณาข้อเสนอโครงการที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อท้องถิ่นของตนเอง มีส่วนร่วมในกระบวนการงบประมาณตั้งแต่ต้นทาง เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางที่เหมาะสม ด้วยวิธีการที่เหมาะสมและความคิดเห็นนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพิจารณาอนุมัติโครงการรวมไปถึงการมีช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดข้อมูลโครงการ ที่เปิดเผยอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและเครื่องมือในการส่งเสริมความโปร่งใส และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดโอกาสของการเกิดคอร์รัปชันได้อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้อ่านเองก็อย่าเพิ่งท้อใจเพราะกระบวนการการใช้งบประมาณนี้ยังดำเนินไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี เพราะเมื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างที่ยังต้องคอยติดตามตรวจสอบว่า มีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ และสุดท้ายยังคงต้องประเมินผลของการใช้งบประมาณดังกล่าวด้วยว่าตอบโจทย์การแก้ปัญหา สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมตามอย่างที่รัฐบาลให้คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะตระหนักถึงความสำคัญต่อการสร้างความโปร่งใสและมีความรับผิดรับชอบ และจำเป็นอย่างยิ่งต้องเพิ่มบทบาทของภาคประชาชนในทุกขั้นตอนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมต่อการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นแล้วความหวังว่า “ไทยจะชนะ” คงจะแพ้ไม่เป็นท่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี