nn สวัสดีปีหมู..ครับท่านผู้อ่าน “โลกการค้า”....ทีแรกใครๆ ก็ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีทำอะไรก็สะดวกสำเร็จได้ง่ายๆ แก้ไขอุปสรรคได้แบบหมูๆ (ตามชื่อปี).... โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ...555...!! อย่างนี้ครับเรื่องของชื่อปีก็เรื่องหนึ่งเรื่องของความเชื่อก็เรื่องหนึ่ง...แต่ในข้อเท็จจริงมันก็อีกเรื่องครับพี่น้อง...โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจไทยในปีนี้...ซึ่งเชื่อว่าก่อนสิ้นปีทุกท่านก็คงจะได้เห็นข่าวแล้ว...หน่วยงานวิชาการด้านเศรษฐกิจของไทยทุกสำนัก...ออกบทวิเคราะห์มาตรงกันว่า...เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อน....ด้วยเหตุผลที่ว่าได้รับกระทบจากภาคการค้าระหว่างประเทศ(ส่งออก-นำเข้า)และภาคการท่องเที่ยว...ที่ซบเซาจากปัญหาของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน...และความผันผวนจากตลาดเงินและตลาดทุนของโลก...และด้วยเหตุที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ภาคการท่องเที่ยวอีก 10-15%...ของจีดีพี...ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจึงไม่อาจรอดพ้นจากผลกระทบจากภาวการณ์นี้ได้เลย....
รัฐบาลเองก็พอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในปีนี้...ก็เลยพยายามที่บรรเทาผลกระทบด้วยการใช้ภาคเศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทย...เช่น การอัดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านสารพัดโครงการประชารัฐเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในระดับรากหญ้า (14 ล้านคน)...การเร่งดำเนินการโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกท์)...
ซึ่งเรื่องของการลงทุนเมกะโปรเจกท์...เป็นความหวังสำคัญของรัฐบาล....เพราะรัฐบาลเองก็รู้ดีว่าการใช้เม็ดเงินผ่านโครงการประชารัฐที่ทำมาตลอด 4 ปี...มันมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ...ตัวเลขหนี้สาธารณะก็โป่งพองขึ้นเรื่อยๆ โหมอัดเม็ดเงินต่อเนื่องไปอีกมันจะไม่สามารถทำได้แล้ว....จึงต้องเร่งให้เกิดการลงทุนในโครงการของรัฐ...
!! แต่ก็ใช่ว่าเมื่อโครงการเมกะโปรเจกท์เกิดขึ้นแล้วจะเป็นคำตอบสุดท้าย...มันต้องมีประเด็นสำคัญที่ต้องใส่ใจ...นั่นคือเม็ดเงินที่ใช้การลงทุนกว่า 70%...ต้องตกอยู่ในประเทศ...เช่น เรื่องของการจ้างงาน...การใช้วัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ...ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก หิน ปูน ทราย ฯลฯ...เหมือนกับที่ ปตท.สผ. ผู้ชนะการประมูลสำรวจขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียม 2 แหล่งใหม่...และ กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง ผู้ชนะซองราคา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน....ประกาศไว้ว่าจะดำเนินโครงการในหลักการที่...กว่า 90% จะใช้ผลิตภัณฑ์และแรงงานในประเทศ....
!! คงไม่ว่ากันถ้า “โลกการค้า” จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ...ว่าคงจะได้รับประโยชน์จากการโครงการเมกะโปรเจกท์ของรัฐมากกว่าเหล็กนำเข้า....อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศถือว่าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของไทย มีการลงทุนไปแล้วหลายแสนล้านบาท เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้กว่า 2 แสนคน...แต่ตลอดเวลากว่า 10 ปี มานี้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยอยู่สภาพย่ำแย่จากการถูกเหล็กนำเข้าทุ่มตลาด...ยักษ์ใหญ่เบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องเข้าสู่แผนการฟื้นฟูกิจการ...ล่าสุดผู้นำอุตสาหกรรมเหล็กของไทยอีกราย...อย่างกรุงเทพผลิตเหล็กและบริษัทในเครือ...ก็ต้องประกาศโครงการเออร์ลี่รีไทร์ (ลดพนักงาน)....เนื่องจากไม่สามารถทนต่อผลกระทบจากการถูกเหล็กนำเข้าแย่งตลาดได้อีกต่อไป....
ถึงตรงนี้ก็ต้องถามใจรัฐบาลดูว่าจะปล่อยให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศมูลค่าหลายแสนล้านบาท ล้มครืนลงไปต่อหน้าต่อตาหรือไม่...หรือจะเลือกแนวทางการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ...อย่างที่สหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำโลกเสรีดำเนินการอยู่ตอนนี้...ถึงขั้นประกาศสงครามการค้ากับประเทศจีน....มหาอำนาจอันดับสองของโลกเลยทีเดียว...
!!การที่ไทยจะให้ความสำคัญกับการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ...ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด หรือสวนกระแสโลกแต่อย่างใด...เพราะจากสถานการณ์สงครามทางการค้าของ สหรัฐ กับจีน....ส่งผลให้ประเทศต่างๆต้องกำหนดมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ
ยกตัวอย่าง...(1)สหภาพยุโรปได้ดำเนินการเปิดไต่สวนมาตรการ Safeguard สินค้าเหล็กถึง 26 รายการ เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2561 และมีการเพิ่มอีก 2 รายการ ในภายหลัง (รวมเป็น 28 รายการสินค้า) โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2561 (ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน) สหภาพยุโรปได้มีการประกาศบังคับใช้มาตรการปกป้องชั่วคราว 200 วัน กับสินค้าเหล็ก 23 รายการ (รวมถึงสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนด้วย).... (2)ประเทศตุรกีมีการประกาศเปิดไต่สวนมาตรการ Safeguard สินค้าเหล็ก 5 กลุ่มสินค้า (รวมถึงสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนด้วย) เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2561 และหากพิจารณาเช่นเดียวกับสหภาพยุโรปคาดว่าตุรกีจะมีการประกาศมาตรการปกป้องชั่วคราวประมาณเดือนก.ย. 2561 นี้ (3)ประเทศเม็กซิโกต่ออายุมาตรการเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับสินค้าเหล็กจำนวน 186 พิกัด (รวมถึง Slab, เหล็กแผ่นรีดร้อน, แผ่นรีดเย็น, เหล็กลวด, ท่อ, เหล็กเคลือบ, เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ)...(4)ประเทศแคนาดาใช้มาตรการ Safeguard ได้แก่ เหล็กแผ่นหนา เหล็กเส้น ท่อส่งก๊าซ เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กเคลือบสี และเหล็กลวด ซึ่งใช้ระยะเวลาการพิจารณา 15 วัน…ฯลฯ
!! โครงการเมกะโปรเจกท์ที่อยู่ในแผนงานของรัฐบาล...มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท...ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการก่อหนี้ของรัฐบาล...เมื่อไทยตัดสินใจจะเป็นหนี้มหาศาลขนาดนั้นแล้ว...ใครควรจะได้ประโยชน์จากการก่อหนี้ครั้งนี้???...เรื่องแค่นี้รัฐบาลคงคิดได้ไม่ยากกระมัง...!!แต่ถ้ายังคิดไม่ได้ก็อย่าหวังกลับมาเป็นรัฐบาลอีกเลยนะ...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี