วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เป็นวันแรกของการเปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 หลังจากว่างเว้นการเลือกตั้งมาถึง 8 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 27 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2554
บรรยากาศรับสมัครช่วงวันแรก จึงเต็มไปด้วยความคึกคัก มีผู้สมัครรับเลือกตั้งจาก 57 พรรคการเมืองยื่นสมัครใน 329 เขต รวมจำนวนทั้งสิ้น 5,800 คน พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครมากที่สุด คือ พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 278 คน พรรคพลังประชารัฐ 274 คน พรรคเสรีรวมไทย 270 คน พรรคอนาคตใหม่ 267 คน และพรรคภูมิใจไทย 264 คน
นับว่ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งมากที่สุด เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2550 มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวม 5,154 คน การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวม 3,832 คน การเลือกตั้งเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวม 2,289 คน
ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 สส. มีจำนวน 500 คน มาจาก 2 ทาง คือ จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 350 คน และจากบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง จำนวน 150 คน ซึ่งจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
บัตรเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นแปลกใหม่ นั่น คือ ใบเดียวกากบาท (X) ได้เบอร์เดียว และได้ถึงสาม คือ สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ และนายกรัฐมนตรี ทำให้มีการเรียกว่า “บัตรเลือกตั้งแบบผสม หรือไฮบริด (Hybrid)” ทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ต้องจำหมายเลขผู้รับสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ตนมีสิทธิเลือกตั้งให้แม่น เพราะมีสิทธิเลือกตั้งเพียงหมายเลขเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ เขตเลือกตั้งใดที่ผู้สมัคร สส. ได้รับคะแนนน้อยกว่าคะแนน “Vote No” หรือ “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” เลือก สส. ในเขตเลือกตั้งนั้น จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้น ทั้งนี้ผู้สมัคร สส. คนเดิมทุกคน จะไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ในการเลือกตั้งครั้งใหม่
สำหรับการใช้สิทธิเลือกตั้งหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย ไม่มีบัตรประชาชนแบบประเทศไทย จะใช้วิธีให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ไปแสดงตน เพื่อแสดงความประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งจริง ถ้าเป็นประเทศไทยใช้วิธีนี้ การนับคะแนนของ
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งบางราย อาจถล่มทลาย เพราะผู้มีสิทธิ์ที่เป็นบุคคลเดียวกัน คงไปแสดงความประสงค์ตามหน่วยต่างๆ หลายหน่วยพร้อมกัน
การที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับตัวเลขผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่บรรยากาศโดยรวม ออกจะกร่อยไป เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งยุคก่อนๆ ที่ดูจะมีสีสัน ไม่ว่าจะมีการแห่กลองยาว เชิดสิงโต ร้องรำทำเพลง รำวง ตัวมาสคอต (Mascot) ตัวหุ่น หรือการ์ตูนยอดนิยม ที่มีคนอยู่ข้างใน โบกมือไป-มา ต่างจากการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเกรงว่าสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้ง เนื่องจากอาจถูกตีความว่าเป็นมหรสพ หรือการแสดง
สำหรับการหาเสียงของพรรคการเมือง จะเป็นไปตามระเบียบสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยวิธีการหาเสียงนั้น สามารถแจกเอกสาร วีดิทัศน์ที่เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งในเขตชุมชน สถานที่ งานพิธีต่างๆ ได้ รวมทั้งจัดรถหาเสียงและเวทีหาเสียง ใช้เครื่องขยายเสียงช่วยหาเสียงได้ โดยผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมือง ต้องแจ้งรายละเอียดให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบภายใน 10 วันหลังปิดการรับสมัคร ซึ่งทั้งเอกสาร วีดิทัศน์ ประกาศการโฆษณา ป้ายโฆษณาที่จะติดตั้งบนรถหาเสียง เวทีหาเสียง สามารถระบุชื่อ รูปภาพ และหมายเลขผู้สมัคร ชื่อสัญลักษณ์นโยบายของพรรค คติพจน์คำขวัญ ข้อมูลประวัติเฉพาะที่เกี่ยวกับผู้สมัคร พรรคการเมืองและนำภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายก หัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค ลงโฆษณาหาเสียงได้
การหาเสียงสามารถทำผ่านจดหมาย สิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ ทำเอกสาร ที่มีการกากบาทในช่องคะแนนเลือกตั้งให้กับตนเองได้ แต่เอกสารต้องไม่มีลักษณะหรือสีคล้ายกับบัตรเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด
สำหรับการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคการเมือง สามารถหาเสียงด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบุคคลนิติบุคคลดำเนินการได้ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นยูทูบ เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น อีเมล เอสเอ็มเอส ทั้งนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องแจ้งวิธีการ รายละเอียด ช่องทางระยะเวลาการหาเสียงรวมถึงหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ผอ.กกต. ประจำจังหวัดทราบตั้งแต่วันสมัครหรือก่อนหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์
ในการหาเสียงนั้น กฎหมายห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมือง ให้ผู้ประกอบอาชีพ เจ้าของกิจการวิทยุโทรทัศน์ สื่อมวลชน สื่อโฆษณา หรือนักแสดง นักดนตรี พิธีกร ใช้ความสามารถทางวิชาชีพเอื้อประโยชน์ในการหาเสียง แต่ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีความรู้ความสามารถทางศิลปะเป็นของตนเอง สามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ ห้ามใช้อุปกรณ์ในการแสดง
การหาเสียงในประเทศไทย ผู้สมัครรับเลือกตั้ง นิยมเคาะประตูหาเสียงถึงหน้าบ้าน ต่างจากประเทศญี่ปุ่น ผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเกรงว่าจะไปแจกเงินหรือให้คำมั่นสัญญาเพื่อจูงใจให้เลือกตน พอถึงเวลาได้รับเลือกเป็นสส.กลับทำไม่ได้ คำมั่นสัญญาเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรจากลมปาก ผู้สมัครรับเลือกตั้งในประเทศญี่ปุ่นจึงได้รับอนุญาตให้ใช้สายสะพายคล้ายผู้ได้รับตำแหน่งนางงามหรือชายงาม ยืนหาเสียงผ่านเครื่องขยายเสียงตามสี่แยก นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกตาสำหรับคนไทย
ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคเพื่อชาติไม่ต่ำกว่า 15 ราย แห่เปลี่ยนชื่อเป็น “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” หรือชื่อพ้องเสียง “ยิ่งรัก” โดยให้เหตุผล เช่น ศรัทธาอดีตนายกรัฐมนตรี ชื่อจดจำได้ง่าย ถือว่าเป็นสิทธิส่วนตัว ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าให้เหตุผลทำนองว่าประชาชนจะได้ทราบว่า ใครเป็นเจ้าของพรรค อาจถึงขั้นยุบพรรค เนื่องจากผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะมีบุคคลภายนอกมีอิทธิพลเหนือพรรค ทั้งยังแสดงถึงวุฒิทางการเมืองต่ำ
สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่าได้นอนหลับทับสิทธิ์ ควรเร่งศึกษา ทำความเข้าใจกับนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะเมื่อพรรคการเมืองใดได้เป็นรัฐบาล พรรคการเมืองนั้นย่อมมีหน้าที่ต้องนำนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ กำหนดเป็นนโยบายในการบริหารประเทศ
นโยบายของพรรคการเมือง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าชื่อ รูปร่าง หน้าตา
ประชาชนชาวไทยจึงตัดสินใจใช้สิทธิเลือกตั้งให้ดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี