nn ดูเหมือนภาคการส่งออกของไทยในปี’62...จะอาการหนักกว่าที่คาด...ตอนต้นปีหลายหน่วยงานวิจัยด้านเศรษฐกิจคิดว่าอย่างแย่ๆ สุดน่าจะขยายตัวที่ 0%...ขณะที่หน่วยภาครัฐเช่นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ ฯลฯ มองว่าอาจจะเติบโตได้บ้างเล็กน้อยที่ 1-2%... มาถึงวันนี้หน่วยงานภาครัฐเองก็ยอมรับแล้วว่าน่าจะอยู่ในภาวะติดลบ 1-2%...แต่อันนี้ก็ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด...เพราะตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ มักจะรวมเอาการส่งออกทองคำ และอาวุธเข้าไปด้วย (ซึ่งจริงแล้วไม่ควรนับรวมเพราะสินค้า 2 กลุ่มนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนของภาคเศรษฐกิจ)...
ตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงนั้นควรจะพิจารณาจากตัวของภาคเอกชนจะดีกว่า เพราะเขาไม่รวมตัวเลขการส่งออกทองคำและอาวุธ...ซึ่งตัวเลขการส่งออกของภาคเอกชน...มองว่าปี’62 น่าจะติดลบที่2.5-3% และที่น่าสนใจก็คือ...ปัจจัยลบที่มีผลต่อการส่งออก...ไม่ได้แต่โทษว่ามาจากของสงครามการค้าอย่างเดียวเหมือนที่กระทรวงพาณิชย์ชอบยกมาเป็นข้ออ้าง...
นอกจากสงครามการค้าแล้วยังมีปัจจัยลบอื่นๆ เข้ามาร่วมกระหน่ำซ้ำเติมด้วยเช่น..มาตรการ IMO Low Sulphur 2020 :ที่จะมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563 ส่งผลให้เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มออกประกาศอัตราเรียกเก็บเพิ่มค่า BunkerSurcharge ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของค่าระวางในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและกระทบต่อต้นทุนโดยรวมของผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า
สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการชะลอตัวภาคการส่งออกทุกกลุ่มสินค้า ....เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวเห็นได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัวเพียง 2.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเติบโต 2.6%...แนวโน้มการเรียกเก็บภาษีซึ่งเป็นต้นทุนผู้ประกอบการมีมากขึ้น เพราะภาครัฐต้องการเพิ่มรายได้สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ...กฎหมายและมาตรการภาครัฐที่กำหนดเพิ่มเติมในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว นับเป็นการลดทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก อาทิ แนวคิดการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การแบนสารเคมีการเกษตรการเรียกเก็บภาษีความหวานและความเค็ม….
“การชะลอตัวของการส่งออกไทย ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญ ของเศรษฐกิจไทย ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นลูกโซ่ เช่น การผลิตลดลงจะส่งผลต่อการจ้างงานและรายได้ครัวเรือน ค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับรายรับที่ลดลงจะทำให้เม็ดเงินที่กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลง มีเงินหมุนเวียนสำหรับการบริโภคภาคเอกชนลดลง ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการชะลอตัวของจีดีพี ในที่สุด”
มองข้ามไปถึงปีหน้า (2563)...สถานการณ์ของการส่งออกก็ยังไร้ปัจจัยหนุน...แต่ปัจจัยลบยังอยู่เหมือนเดิม...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ถดถอย...ค่าเงินบาทที่จะยังคงแข็งค่าต่อเนื่องและอาจจะแข็งค่ามากว่าปีนี้ด้วยซ้ำไป...อุปสรรคจากมาตรการด้านภาษีของรัฐที่เพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ...รวมทั้งความผันผวนทางการเมือง ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพในการดำเนินนโยบาย ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ....
ตอนนี้ต้องหวังพึ่ง...การลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนขยับตัวตาม...และภาคการท่องเที่ยว...ซึ่งต้องเลิกมองแต่จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพียงอย่างเดียว...เพราะไส้ในของการท่องเที่ยวไทยตอนนี้พึ่งแต่นักท่องเที่ยวจีน..ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่ากลุ่มทุนจีนเขามาตั้ง“นอมินี”ขนเงินกลับบ้านเขาไปเกือบหมด...สิ่งที่ต้องคิดใหม่ คือ ต้องหานักท่องเที่ยวแบบคุณภาพที่เข้ามาใช้จ่ายในประเทศมากๆ (เน้นที่สินค้าและบริการของไทย)....!! ถ้ารัฐทำ 2 เรื่องนี้ไม่ได้...สงสับปีหน้าจะเป็นปี“เผาจริง” อย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี