ผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562 จังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 อ.หนองเรือ และอ.มัญจาคีรี นายสมศักดิ์ คุณเงิน หมายเลข 2 จากพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ได้รับเลือก โดยเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย คือ นายธนิก มาสีพิทักษ์หมายเลข 1 ไปได้ด้วยคะแนน 40,151 คะแนน ต่อ 37,959 คะแนน ห่างกัน 2,192 คะแนน อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอการรับรองคะแนนดังกล่าวจากคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้ง
หากแบ่งคะแนนของเขต 7 จ.ขอนแก่น เป็นรายอำเภอจะพบว่า ชาวอ.มัญจาคีรี ส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทย 18,086 คะแนน โดยเลือกพรรคพลังประชารัฐ 15,111 คะแนน ในขณะที่ชาวอ.หนองเรือ ส่วนใหญ่เลือกพรรคพลังประชารัฐ 25,040 คะแนน เลือกพรรคเพื่อไทย19,873 คะแนน
ใครเชียร์ พรรคไหน พรรคที่ตนเองได้ ย่อมดีใจเป็นของธรรมดา ส่วนพรรคที่ตนเองไม่ได้ย่อมเศร้าโศกเสียใจ สำหรับคนเข้าไปใช้สิทธิ์ แต่กลับไม่ได้ใช้สิทธิ์ ยิ่งเศร้าโศกเสียใจ และยิ่งพรรคที่ตนเองไม่ได้ ยิ่งเสียใจหนักเข้าไปอีก
“ต้องการใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้วยการเลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ คือ หมายเลข ..... แต่กลับถูกกำนันมาแย่งบัตรเลือกตั้งและไปกากบาทลงในช่องหมายเลข ..... โดยที่ตัวเองนั้นไม่พอใจ จึงต่อว่ากำนันและแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับ กกต.ประจำหน่วย ก่อนตัดสินใจมาแจ้งความเอาผิดกับการกระทำดังกล่าวเพื่อให้ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และ กกต. เอาผิดกับการกระทำของกำนัน ฉันจะกาเบอร์ไหนก็เป็นเรื่องของฉัน แต่กำนันมาหยิบปากกาของฉันแล้วไปลงให้ฉันก่อน ฉันเลยเสียใจ” หนึ่งในผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
คนจำนวนไม่น้อยที่จับตามองเรื่องนี้ เมื่อคุณยายทันพลเสน่ห์ วัย 86 ปี ได้แจ้งความต่อ พ.ต.ท.บรรลุ สินนา รอง ผกก. (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองเรือเพื่อเอาผิดกับกำนัน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 17 พื้นที่ต.บ้านเม็ง อ.หนองเรือจ.ขอนแก่น โดยคุณยายทันระบุว่าถูกกำนันคนดังกล่าวแย่งบัตรเลือกตั้งจากคูหาเลือกตั้งไปลงคะแนนแทน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ทางด้านกำนันได้ตอบโต้ว่า “ได้เข็นรถเข็นของนางทันเข้าไปจริง แต่ไม่ได้เข้าไปในคูหาเลือกตั้ง”
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562 กำนันได้เข้าแจ้งความกลับคุณยายทันรวมทั้งสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียง ต่อพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรหนองเรือ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยยืนยันว่าไม่ได้กระทำการเข้าข่ายการทุจริตตามที่ถูกกล่าวหา และพร้อมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
ด้านคุณยายทันได้ยืนกราน “ประกาศสู้ตาย ยืนยันพูดจริง โดนกาบัตรแทน ลั่นไม่ได้รับเงินใคร ให้ 10 ล้านก็ไม่เอา!”
คงต้องติดตามต่อไปว่า ผลจะออกมาเช่นไร พนักงานสอบสวนจะเรียกสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่าย รวมพยานในที่เกิดเหตุคือ เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 17 โดยมีพยานทั้งสิ้น 11 ปาก ซึ่งรวมคุณยายและกำนัน ทางด้านพนักงานสอบสวน ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายผิดถูกว่ากันไปตามพยานหลักฐาน
อีกเรื่องได้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ที่คนจำนวนมากให้ความสนใจ คือ กรณีโลกออนไลน์เผยแพร่ภาพคลิปวีดีโอ นายทวี ไกรคุปต์ พ่อของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ขณะขับรถเบนซ์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์บริเวณสี่แยกสิบสองปันนา สะพานข้ามคลองคลองชลประทาน ถนนสายโรงพยาบาลโพธาราม-บ้านฆ้อง เขตเทศบาล อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โดยไม่ยอมลงจากรถและทำท่าจะหลบหนี จนตำรวจต้องขับรถติดตามไป เพื่อให้นายทวีมาที่เกิดเหตุ
หลังจากที่คลิปนี้ เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ด้านนายทวี ไกรคุปต์ ออกมาชี้แจงว่า บริเวณดังกล่าวเป็นทางแยก ทำให้ไม่กล้าที่จะจอดรถลงไปดูคนเจ็บ เพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน และมองไปข้างหน้าเห็นว่า คนเจ็บไม่เป็นอะไรมากนักจึงตัดสินใจขับรถไปข้างหน้า เพื่อจะกลับรถมาดูคนเจ็บ ขณะนั้นมีรถคันหนึ่งออกไป จึงได้ขับรถตามไป เพราะคิดว่าคนเจ็บอยู่ในรถ และได้บีบแตรไล่ เพื่อจะให้ไปโรงพยาบาล จนมาทราบภายหลังว่าคนเจ็บไม่ได้อยู่ในรถคันดังกล่าว
“ผมยืนยันว่าไม่ได้คิดจะหลบหนี และตอนนี้ได้ดูแล เรื่องของการซ่อมรถและค่าทำขวัญให้กับเด็กแล้ว และผมก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปรับเป็นจำนวนเงิน 500 บาท ในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ แต่กลับถูกสังคมโจมตีทั้งที่ไม่เป็นความจริง”
คนที่ได้ฟังคงต้องใช้วิจารณญาณเอาเองว่า คำพูดดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่
กรณีกำนัน-คุณยายทัน และนายทวี ไกรคุปต์ คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่า ความจริงคืออะไร เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ศาลย่อมพิจารณา และรับฟังพยานหลักฐานด้วยความระมัดระวัง พยานหลักฐานทุกชนิด หากมีคุณสมบัติบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงที่พิพาทกันในคดีได้ ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนั้นได้
กรณีที่เกิดขึ้น กรณีแรก เรื่องการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ของคุณยาย ไม่มีการบันทึกภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดเพราะไม่มีกล้องโทรทัศน์ตรงมุมนั้น
กรณีที่สอง เรื่องอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชน มีคลิปวีดีโอที่ถ่ายไว้ แต่ถูกโต้แย้งว่า เป็นคลิปที่มีการตัดต่อภาพ ไม่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลาที่เป็นจริง
ในกรณีแรก หากเปรียบเทียบ คล้ายกับคดีที่ หญิงถูกชายล่วงละเมิดทางเพศในที่ลับตาคน ไม่มีพยานรู้เห็น เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนเพียงสองคน เมื่อเป็นคดีความผู้พิพากษาจึงใช้ความระมัดระวังในการรับฟังพยานเป็นอย่างสูง
หากหญิงในคดีเป็นหญิงที่มีอาชีพพิเศษ เช่น ทำงานทางด้านบริการ ที่เกี่ยวกับทางเพศอย่างหนึ่งอย่างใด หรือ ทำงานกลางคืนในสถานบริการ ความน่าเชื่อถือในตัวหญิงนั้น ย่อมลดน้อยลง ดังนั้น ภูมิหลังของผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีเช่นนี้มีความสำคัญมาก
ในกรณีที่สอง มีคลิปวีดีโอที่บันทึกภาพไว้ สามารถตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญได้ว่า เป็นการบันทึกภาพต่อเนื่อง หรือเป็นภาพตัดต่อ อีกทั้งคำให้การ และคำให้สัมภาษณ์ จะฟังดูแล้วสมเหตุสมผล น่าเชื่อถือหรือไม่
โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า เมื่อรถเฉี่ยวชนกันแล้วผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจว่า ผู้บาดเจ็บอยู่ในรถอีกคันที่อยู่ข้างหน้า ถึงรีบขับรถตามไป จะฟังได้ขนาดไหน ประเด็นอยู่ที่ว่า คนบาดเจ็บจะขึ้นรถอีกคันหนึ่งได้ตอนไหน อย่างไร และมีอะไรให้เชื่อ โดยสุจริตว่า คนบาดเจ็บอยู่ในรถคันนั้น
งานนี้ อาจมีคนตกม้าตาย หรือตายน้ำตื้น จนเสียผู้เสียคน ก็อาจเป็นไปได้
คงไม่ช้าเกินรอ ที่ผลของสองเรื่องนี้ จะออกมา เพราะเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี