นับเป็นข่าวที่ทราบทั่วกันว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบเอาผิดกรณี นายฉลองเทอดวีระพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดพัทลุงพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ นางนาที รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
หลังจากที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีต สส.พัทลุง ได้ออกมาเปิดเผยว่า สส.ทั้งสองไม่อยู่ที่ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 แต่กลับมีชื่อปรากฏเป็นผู้ลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 วงเงิน 3.2ล้านล้านบาท ระหว่างวันที่ 9-11 มกราคม พ.ศ. 2563 วาระ 2 และ 3 ในการพิจารณาลงมติมาตรา 39 และมาตรา 40
โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563 นายฉลองเทอดวีระพงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติที่จังหวัดพัทลุง ในขณะที่ช่วงเวลาวันที่ 9-11 มกราคม พ.ศ. 2563 ส่วนนางนาที รัชกิจประการ หรือเจ๊เปียะไปท่องเที่ยวประเทศจีน
ทันทีที่เรื่องนี้เป็นข่าว นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ออกมายอมรับว่า ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร บางช่วงของการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10-11 มกราคม พ.ศ. 2563 จริง เพราะติดงานศพญาติ และร่วมงานวันเด็ก สำหรับบัตรลงคะแนนโดยปกติจะวางไว้หรือเสียบค้างไว้ในห้องประชุม ตนจะไม่เอาบัตรลงคะแนนกลับมาจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะตอนเย็นจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บ หลายครั้งที่ตนได้ไปเอาบัตรคืนจากเจ้าหน้าที่ ส่วนใครจะเสียบบัตรแทนหรือไม่ตนไม่ทราบ
บางฝ่ายมองว่า การที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา มีความตั้งใจที่จะจับผิดเพื่อชาติจริงหรือไม่? เพราะหากย้อนไปในช่วงเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พัทลุง ว่า มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 โดยได้ส่งหลักฐานทั้งคลิปเสียง ภาพถ่าย อ้างว่าการเลือกตั้งมีการใช้เงินมีการซื้อบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมานายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กลับพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับนายฉลอง เทอดวีระพงศ์
ทั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นายนิพิฏฐ์อินทรสมบัติ ได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ถึงเรื่องที่ร้องเรียน แต่กลับได้รับคำตอบว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการสอบสวน
ถ้านับเวลาแล้ว เรื่องระหว่างนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติและนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ เวลายังไม่ถึงหนึ่งปีเลยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ คงเห็นว่า เป็นโอกาสเข้าทำนองว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ทางด้านนางนาที รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย มีส่วนทำให้พรรคภูมิใจไทย แย่งเสียงสส.ภาคใต้จากพรรคประชาธิปัตย์
จึงไม่น่าแปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อย ยังคงกังขากับเหตุผลที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยนายนริศร ทองธิราช สส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดสกลนคร ที่กดบัตรแทนกันระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2557
การกระทำของนายนริศร ทองธิราช มีผลให้การพิจารณาร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557 ว่าการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือได้ว่า เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยโดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122 แล้ว ยังขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 123 และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรคสาม ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้นเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย
จึงถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฎร เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ขณะนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ร่วมกันลงชื่อทั้งหมด 84 คน เพื่อยื่นประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 148 (1) ว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณปีพ.ศ.2563 ตราขึ้นชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถ้าผลออกมาเป็นโมฆะ เพราะไม่ชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ย่อมทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ใช้งบประมาณตามเวลาที่ควรจะเป็น เคราะห์กรรมย่อมตกอยู่กับประชาชนทั้งประเทศ
แต่มีนักกฎหมายบางท่านได้แสดงความเห็นว่า ควรให้สส.ทั้งสองท่านรับสารภาพต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มีมาตราใดที่ไม่ได้ลงมติเอง และมีมาตราใดที่ลงมติเอง เพื่อทำให้มาตราที่ลงมติโดยถูกต้องสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ
ผลของการจับผิดเพื่อชาติ หากพิจารณาในเชิงนิติศาสตร์คงได้คะแนนเต็ม
แต่หากพิจารณาในเชิงรัฐศาสตร์ ที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทิ่มแทงกันเอง ทั้งที่น่าจะมีวิธีจัดการที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่านี้ อาจได้คะแนนติดลบ
ผลกระทบจะเกิดขึ้นแก่ประชาชน และประเทศชาติอย่างไร คงต้องตามดูต่อไป อย่างไม่กะพริบตา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี