เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 นายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน วัย 46 ปี ถูกนายเดเร็ค เชาวิน ตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตาสหรัฐอเมริกา จับกุมในข้อกล่าวหา พยายามใช้ธนบัตรปลอมในร้านสะดวกซื้อ ด้วยการจับนอนและใช้เข่ากดทับที่ลำคอกดลงบนพื้นถนนเป็นเวลา 8 นาที 46 วินาทีจนเสียชีวิต
แม้นายฟลอยด์ได้ร้องคร่ำครวญหลายครั้งว่า “ผมหายใจไม่ออก” เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกบันทึกโดยกล้องวงจรปิดหลายมุมด้วยกัน จนกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวอเมริกันจนถึงวันนี้
ได้มีการจับกุมตำรวจ 4 นายที่อยู่ในเหตุการณ์ผู้บัญชาการตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส ได้ไล่ตำรวจทั้ง4 นาย ออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และให้เอฟบีไอ (FBI)มาสืบสวนสอบสวน นายเชาวิน ถูกตั้งข้อหาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยเจตนา แต่ไม่ได้มีการไตร่ตรอง (second-degreemurder) โทษจำคุก 40 ปี ส่วนตำรวจอีก 3 นาย ถูกตั้งข้อหาให้การสนับสนุนการฆาตกรรม (support second-degreemurder) โทษจำคุกสูงสุด 40 ปี ทั้งนี้ นายเชาวิน เคยถูกร้องเรียนจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วถึง 17 ครั้ง ด้วยข้อกล่าวหาเดิมๆ คือ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
การประท้วงกระจายไปทั่วสหรัฐฯเปรียบเสมือนไฟลามทุ่ง โดยตั้งชื่อว่า “I Can’t Breath” และลุกลามไปหลายประเทศ เช่น แคนาดา ไอร์แลนด์ อังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ผู้ประท้วงบางกลุ่มถึงกับยกย่องให้นายฟลอยด์ เป็นวีรบุรุษเพื่อคนผิวสีในขณะที่บางคนมองว่า การกล่าวหาว่า ตำรวจทำเกินกว่าเหตุนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยกย่องนายฟลอยด์ ให้เป็นวีรบุรุษ อาจดูไม่เหมาะสม เพราะประวัติของนายฟลอยด์ ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา วนเวียนเข้า-ออกเรือนจำอยู่หลายครั้งด้วยข้อหาปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน มีโคเคนไว้ในครอบครองบุกรุกและทำให้หญิง (ผิวสี) มีครรภ์เสื่อมเสียอิสรภาพโดยใช้อาวุธปืน ทั้งจากการชันสูตรพลิกศพ พบว่า มียาเสพติดในกระแสเลือด และขณะถูกจับมียาเสพติดไว้ในครอบครองและเมายา การยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ อาจทำให้เยาวชนเข้าใจผิดและเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้
การประท้วงในสหรัฐฯ บางพื้นที่มีการก่อจลาจล บางแห่งได้ลุกลามจนกลายเป็นการปล้นสะดม บุกเข้าโชว์รูมฉกฉวยและทำลายรถหรูตลอดจนสินค้าแบรนด์เนม ในลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนการประท้วงอย่างสงบ แต่ประณามผู้ประท้วงที่ก่อจลาจลว่า เป็นการก่อการร้าย พร้อมประกาศว่า เพื่อเป็นการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ยิงได้ทันที หากผู้ประท้วงก่อเหตุทำลายสถานที่ ลักทรัพย์ ทั้งยังขู่ว่า จะนำกองทัพและทหารมาปราบปรามผู้ประท้วง ถ้าผู้ประท้วงไม่ยุติความรุนแรง
การกล่าวของทรัมป์ เปรียบเสมือนเทน้ำมันเข้ากองเพลิง สร้างความไม่พอใจต่อกลุ่มผู้ประท้วงบางกลุ่ม ทำให้การประท้วงทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แม้กระทั่ง
พลเอกโคลิน เพาเวลล์ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมและสมาชิกสายกลางของพรรครีพับลิกันและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาวิจารณ์ว่า ทรัมป์เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย และจะลงคะแนนและให้การสนับสนุนนายโจ ไบเดน ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป โดยปกติแล้วนายทหารตำแหน่งสูง จะไม่วิจารณ์ผู้นำพลเรือน
ในขณะที่นายจาค็อบ เฟรย์ นายกเทศมนตรีเมืองมินนิอาโปลิส ได้ถูกกลุ่มผู้ประท้วงต้อนคำถามว่า “ในฐานะที่คุณเป็นนายกเทศมนตรี คุณจะยุบสำนักงานตำรวจของเมืองมินนิอาโปลิส หรือไม่” คำถามแบบนี้ในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ประท้วงกำลังลุกฮือ ไม่ว่าจะตอบไปทางใด คงจะไม่สามารถที่จะให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดพอใจ เปรียบเสมือนคำถามกับดัก นับว่าเป็นการดี ที่นายเฟรย์ไม่ได้โพล่งตอบทันที กลับแสดงท่าทีนิ่งสงบและใช้ความคิด จึงตอบว่า “ไม่” แม้ในเวลาต่อมาสมาชิกสภา เมืองมินนิอาโปลิสได้ลงมติเสียงข้างมาก 9 จาก 13 เสียง ให้ดำเนินการยุบสำนักงานตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส เพราะถูกกล่าวหาว่า มีการกระทำอันเหยียดเชื้อชาติหลายครั้ง และให้ตำรวจระดับรัฐเข้ามาดูแลรับผิดชอบแทน ข้อมูลจากบันทึกการใช้กำลังปราบปรามของสำนักงานตำรวจเมืองมินนิอาโปลิสพบว่าตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 มีการใช้วิธีการล็อกคอ เพื่อควบคุมบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยมากถึง 428 คน ในจำนวนนี้มีคนถูกล็อกคอจนหมดสติมากถึง 58 คน ซึ่งเป็นคนผิวสีถึง 2 ใน 3
ระบบตำรวจของสหรัฐฯ แตกต่างจากประเทศไทย ในประเทศไทย การจัดตั้งตำรวจจะเป็นแบบกองทัพทหาร แบ่งแยกในแต่ละภูมิภาคและพื้นที่ แต่การบริหารรวมศูนย์กลาง เป็นหนึ่งเดียว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมียศเป็นนายพลตำรวจเอก
ส่วนในสหรัฐฯ ตำรวจจะแยกออกเป็นแต่ละเมืองแต่ละรัฐ ต่างหากออกจากกัน ไม่ได้รวมศูนย์แบบประเทศไทยในบางเมือง หรือบางรัฐ หัวหน้าตำรวจใหญ่สุด มียศเพียงแค่ระดับ นายร้อยเท่านั้น ตำรวจในสหรัฐฯ เริ่มต้นเป็นตำรวจเมืองไหน ต้องอยู่ที่นั่นไปตลอด
ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน การเหยียดผิวสีในสหรัฐฯมีความรุนแรงมาก เช่น โรงเรียนที่เปิดเฉพาะเด็กผิวขาว ห้ามเด็กผิวสีเข้าเรียน รถเมล์ต้องสำรองที่นั่งสำหรับคนผิวขาว ผิวสีนั่งได้เฉพาะเบาะหลัง และหากคนผิวขาวขึ้นมาไม่มีที่นั่ง คนผิวสีต้องลุกให้นั่ง หากไม่ลุกให้นั่ง ถือว่ามีความผิด แม้มีการแก้กฎหมาย การเหยียดผิวสีและเชื้อชาติยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ อยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าปรากฏในสื่อแทบทุกปี ความรุนแรงมากน้อยต่างกัน
ตำรวจอเมริกันบางคนที่ใช้วิธี Racial Profile หรือการใช้ผิวสีเป็นการแยกแยะบุคคลที่น่าสงสัย คนที่มีผิวสีจึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า มีส่วนในการกระทำความผิด ก่อนที่จะมีการพิสูจน์โดยใช้พยานหลักฐาน มีการทำสถิติและพบว่า ปี พ.ศ. 2556-2562 ตำรวจสหรัฐฯ ได้สังหารคน7,666 คน ในจำนวนนี้ คนผิวสีถูกสังหารมากกว่าคนผิวขาว2.5 เท่า ทั้งนักโทษในเรือนจำ จะมีคนผิวสีที่ถูกจำคุกมากกว่าคนผิวขาวถึง 5 เท่า
รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา มีบทบัญญัติให้พลเมืองมีสิทธิเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา ทำให้คนผิวสีมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น ได้รับสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง จนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
น่าแปลกใจว่าสหรัฐอเมริกายังมีปัญหาการรังเกียจผิวสี และการจลาจลทางเชื้อชาติ ทั้งที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นดินแดนแห่งสิทธิเสรีภาพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี